นัดแรกของ มาซาทาดะ อิชิอิ ทีมชาติไทย บุกแพ้ ญี่ปุ่น ตามคาด แต่สกอร์ขาดกว่าที่หวัง และนี่คือ 5 ประเด็นที่น่าสนใจจากศึกอุ่นเครื่องนัดวันปีใหม่

1 จัดทัพเซอร์ไพรส์

ขณะที่ ญี่ปุ่น ของ ฮาจิเมะ โมริยาสึ ลงชุดแรก ไม่มี ทาคุมิ มินามิโนะ อดีตแข้งหงส์แดง ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่ตอนนี้เล่นกับ โมนาโก, ทาคุมะ อาซาโนะ จากโบคุม, ริตสึ โดอัน จากไฟร์บวร์ก

ส่วนฝั่งไทย ก็ไม่มี ธีราทร บุญมาทัน, ไม่มี สุภโชค สารชาติ, ไม่มี เอกนิษฐ์ ปัญญา หรือแม้แต่ สารัช อยู่เย็น, พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล ในชุด 11 คนแรก เช่นเดียว

อิชิอิ เลือกจัดทัพระบบ 4-4-2 โกลเลือก ปฏิวัติ คำไหม, เซ็นเตอร์ เอเลียส ดอเลาะ และ กฤษดา กาแมน ก็ยังถอยมาเล่นตรงนี้ เหมือนยุค มาโน โพลกิง

ส่วนแบ๊ก เมื่อฝั่งซ้ายไม่มี ธีราทร อิชิอิ ตัดสินใจโยก นิโคลัส มิคเกลสัน โยกจากขวามาซ้าย เพื่อปิดเกมรุก โดย มิคเกลสัน เล่น โอบี โอเดนเซ ก็เล่นฝั่งซ้ายบ่อยๆ ด้านฝั่งขวา ศุภนันท์ บุรีรัตน์

มิดฟิลด์ตัวกลาง ใช้คู่เมืองทอง วีระเทพ ป้อมพันธ์ กับ พิชา อุทรา, ปีกซ้าย บดินทร์ ผาลา, ขวา เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์, คู่หน้า ธีรศักดิ์ เผยพิมาย กับ ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์

2 โคตรเพรสซิ่งของทัพซามูไร

ถ้าเล่นเกมก็คงเหมือนจากคุ้นกับ “อีซี่” มาสู่โหมด “ฮาร์ด”

ทีมชาติญี่ปุ่น ไล่เพรสซิ่งเร็วโคตร ได้บอลปุ๊บ ไม่มีเวลาตัดสินใจ 2-3 คนรุม และไทยก็เสียบอลทุกครั้ง ครึ่งแรกยังพอมีแรงสู้ไหว แต่การจะเขย่งตัว เบ่งพลังตลอด 90 นาที มันยาก ดังนั้นไม่แปลกที่ครึ่งหลังจะทำนบพัง นี่คือหนึ่งในเหตุผล นอกจาก ญี่ปุ่นจะปล่อยตัวหลัก

นักเตะไทย เจอเกมบีบเร็ว ก็ไปไม่เป็นทุกที เหมือนตอนเล่นกับ จอร์เจีย เจอบอลแบบนี้ นอกจากการคิดล่วงหน้า ก่อนได้บอลแล้ว ระบบการฝึกซ้อม แอนตี้เพรสซิ่ง สำคัญมาก เพื่อนจะได้บอล ต้องรู้ว่าต้องลงไปรับตรงไหน

สัญชาติญาณ ความสามารถเฉพาะตัวสำคัญ แต่การซ้อมให้คุ้นเคยให้ชินสำคัญกว่า ไม่แปลกที่ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย จะบอกว่า สไตล์ซ้อมของ อิชิอิ เน้นวันทัช เร่ง เร็ว ซึ่งที่ผ่านมาการซ้อมเต็มๆ แค่ 1-2 วัน คงให้เห็นผลไม่ได้

3 ตื๊อได้ดีขึ้น

การเจอทีมใหญ่ สิ่งสำคัญคือความอดทน ตามตื๊อให้ถึงที่สุด แม้ตั้งเกมสู้ไม่ได้ แต่ต้องยันให้นานที่สุด หรือแม้แต่เมื่อเสียประตูไปแล้ว 1-2 หรือ อาจจะ 3 ลูก ก็ยังอดทนให้ได้

เกมรุกอาจตั้งไม่ได้ แต่วินัยเกมรับต้องเข้มข้น ซึ่งนัดนี้เห็นๆกันว่า เกมรุกเราทำไม่ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการช่วยกันรับ ที่ก็ต้องชมว่า รวมพลังวิ่งไล่กันได้ดีในระดับหนึ่ง ครึ่งแรกญี่ปุ่นรุกเยอะกว่า แต่โอกาสจะๆ ไม่ค่อยมี

กระนั้นก็ตาม อย่างที่บอก ญี่ปุ่น เล่นบอลตามธรรมชาติ ดุดันตามธรรมชาติ เล่นเร็ว หนัก ตามธรรมชาติ แต่บอลไทยต้องเขย่งตัวผิดธรรมชาติ จึงต้านไม่ได้ตลอด ยิ่งครึ่งหลัง โมริยาสึ ใส่ตัวเด็ด ริตสึ โดอัน, ทาคุมิ มินามิโนะ ลงมา บดจนไทยน่วม และเมื่อ เอเลียส ดอเลาะ สกัดเข้าประตูตัวเอง เป็นลูก 3-0 ก็แทบทิ้งตัวเลยทีเดียว

4 ทีเด็ดของช้างศึก

เจอบอลใหญ่ๆ ตั้งรับตลอด โอกาสทำประตูคือเซตพีซ กับความสามารถเฉพาะตัว เกมโต้กลับ ซึ่งสำหรับไทย เซตพีซ กับทีมที่รูปร่างสูงใหญ่กว่า ไม่ต้องไปพูดถึง ไม่มีพิษสง

ส่วนเกมโต้กลับ นักเตะเร็วๆ ที่เป็นความหวังอย่าง เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ ก็ยังไม่เร็วไปกว่ากองหลังของญี่ปุ่น

คุณภาพระดับที่เราต้องการคือ สุภโชค สารชาติ ที่พอจะเลี้ยงกินตัว เอาตัวรอด ดึงคู่แข่งกรูเข้ามาหา แล้วปล่อยบอลทีเด็ดได้ ขณะที่ เอกนิษฐ์ ปัญญา ยังมีเวลาน้อยไป ลงไปตอนที่ทีม “โลวแบตเตอรี่” แล้ว

การเจอทีมใหญ่ ถ้าหวังยิงประตู เราต้องมีนักเตะที่เล่นได้ในระดับ สุภโชค อีกสัก 1-2 คน เพื่ออย่างน้อย ไว้ป่วนคู่แข่งบ้าง ไม่ใช่ให้เขาต่อยเอาๆ เหมือนซ้อมชกนวม

5 ประสบการณ์จากคมดาบซามูไร

สิ่งปลอบใจ ที่ใช้กันมาตบอด ยามแพ้ทีมใหญ่คือ “ประสบการณ์”

มาซาทาดะ อิชิอิ ถูกตั้งความหวังมาอุดรอยโหว่ ในการเจอทีมเฮฟวี่เวท ที่ มาโน โพลกิง ตีโจทย์ไม่แตก

อย่างไรก็ตาม อิชิอิ เพิ่งมาทำทีมไม่นาน คุมทีมซ้อมเต็มๆ แค่ 1 วันด้วยซ้ำ ไม่รวมวันซ้อมทางการ

ต้องรอดูผลงานกันต่อไป ก่อนเกม เอเชียนคัพ ที่จะเรียกซ้อมอีกครั้ง 7 ม.ค.67 และเตะนัดแรก คีร์กีซสถาน 16 ม.ค.67

ข่าวว่า อิชิอิ ตัดคิวอุ่นเครื่องออกไปแล้ว ขอเน้นแท็คติกเต็มๆ รอลุยเอเชียนคัพ ซึ่งนอกจาก คีร์กีซสถาน ยังมี โอมาน และ ซาอุดิอาระเบีย

สไตล์คู่แข่งในรอบแรกเอเชียนคัพ อาจต่างไปจากการเจอ ญี่ปุ่น แต่มองข้ามไปบอลโลก เดือนมี.ค.มีคิว เยือน-เหย้า เกาหลีใต้ ที่สไตล์คล้ายกัน มตรฐานใกล้กัน

จากเกมโดนซามูไร ฟันเหวอะ อย่างน้อยได้เห็นบาดแผล

2 เกมกับโสมขาว ที่ถูกมองว่า คงจะแพ้รวด กับ 0 แต้ม แต่หากตื๊อแบ่งมาสัก 1 แต้ม ถือว่าช่วยให้สถานการณ์ที่จะแซงจีน ดีขึ้นมากทีเดียว

รอดูกันว่า อิชิอิ จะเปลี่ยนความย่อยยับจากเกมนี้ เป็นประโยชน์กับทีมชาติไทยได้เพียงใด.

*** วุฒินล ***