ผลการเลือกตั้งทั่วไปของไต้หวัน ซึ่งมีการลงคะแนนเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา ในส่วนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีไม่ถือว่าเหนือความคาดหมาย โดยผู้ชนะคือ นายไล่ ชิง-เต๋อ รองผู้นำคนปัจจุบัน จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ( ดีพีพี ) ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนมากที่สุด 40% หรือราว 5.58 ล้านคะแนน
ตามด้วยนายโหว โหย่ว-อี๋ จากพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยมเก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออก ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนราว 33.49% คิดเป็นคะแนนดิบประมาณ 4.67 ล้านคะแนน และนพ.เคอ เหวิน-เจ๋อ จากพรรคประชาชนไต้หวัน ( ทีพีพี ) พรรคการเมืองที่ขอเป็นทางเลือกจากอีกสองพรรคใหญ่ ซึ่งตอนแรกเกือบบรรลุข้อตกลงกับพรรคก๊กมินตั๋ง ในการร่วมส่งผู้สมัครเพียงคนเดียว แต่ท้ายที่สุดตกลงกันไม่ได้ โดยนพ.เคอ ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนราว 3.69 ล้านคะแนน คิดเป็น 26.46%
ขณะที่ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ หรือ สภาหยวน ชุดใหม่ทั้ง 113 ที่นั่ง ปรากฏว่า พรรคก๊กมินตั๋ง ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด 52 ที่นั่ง ตามด้วยพรรคดีพีพี 51 ที่นั่ง พรรคทีพีพี 8 ที่นั่ง ส่วนอีกสองที่นั่งที่เหลือเป็นของสมาชิกอิสระ
ด้านจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิอยู่ที่ราว 71% จากจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงประมาณ 19 ล้านคน ลดลง 3% จากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2563 นอกจากนี้ ไล่ถือเป็นว่าที่ผู้นำไต้หวันซึ่งได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียงต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2543 ยิ่งไปกว่านั้น พรรคดีพีพียังสูญเสียหารครองเสียงข้างมากในสภาหยวน แม้ยังคงเป็นรัฐบาลอยู่ก็ตาม
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/01/34F36KG-highres.jpg)
นั่นหมายความว่า การทำงานของรัฐบาลและการใช้อำนาจของไล่ในฐานะประธานาธิบดี ซึ่งจะเริ่มงานต่อจากประธานาธิบดีไช่ อิง-เหวิน ในวันที่ 20 พ.ค. 2567 น่าจะหืดขึ้นคอไม่ใช่น้อย เนื่องจากพรรคดีพีพีกับฝ่ายค้าน มีจุดยืนแตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลายเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความสัมพันธ์กับรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งไล่ส่งสัญญาณประนีประนอมออกมาก่อนแล้ว ว่ายินดีพิจารณานโยบายของพรรคก๊กมินตั๋ง และพรรคทีพีพี อีกทั้งจะจัดสรรโควตารัฐมนตรีให้กับทั้งสองพรรค ด้วยความหวังว่า การทำงานจะเป็นไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ดี ในด้านการต่างประเทศ ถือว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาอาจเรียกได้ว่า เป็นการรักษาสมดุลสามฝ่าย ระหว่างไต้หวันกับจีนและสหรัฐ ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบนับจากนี้แม้จะยังคงตึงเครียด แต่นโยบายของทุกฝ่ายในภาพรวมไม่น่าเปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาความเสี่ยง และความวิตกกังวลของหลายฝ่ายไปได้พอสมควร ว่าความขัดแย้งจะลุกลาม โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งต่างจับตาการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/01/34F36QK-highres.jpg)
กระนั้น จีนเดินเกมการทูตหลังม่านชนิดที่เรียกว่า “เร็วเหนือความคาดหมาย” เนื่องจากหลังการเลือกั้งผ่านพ้นไปได้เพียงไม่กี่วัน นาอูรู หนึ่งในประเทศซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดในโลก โดยมีประชากรราว 12,500 คน และตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากชายฝั่งเมืองซิดนีย์ของออสเตรเลีย ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 4,000 กิโลเมตร ประกาศการยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน ที่แปลว่า คือการสถาปนาความร่วมมืออย่างเต็มรูปแบบ และเป็นทางการ กับรัฐบาลปักกิ่ง
อนึ่ง ไต้หวันกับนาอูรูเคยตัดความสัมพันธ์ที่ยาวนาน 17 ปี มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเดือน ก.ค. 2545 แต่หลังจากนั้นมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในปี 3 ปีต่อมา คือเมื่อปี 2548 นาอูรูจึงมีความสำคัญทางการทูตอย่างมากสำหรับไต้หวัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ดังนั้น การที่นาอูรูยุติความสัมพันธ์ ทำให้ตอนนี้เหลือเพียง 12 ประเทศบนโลกเท่านั้น ซึ่งยังคงมีความสัมพันธ์อย่างเต็มรูปแบบกับไต้หวัน ซึ่งรวมถึง วาติกัน กัวเตมาลา เบลีซ เฮติ และปารากวัย และยิ่งเป็นการเพิ่มความหวาดหวั่นใจให้กับไต้หวันในอนาคต จากการที่ตลอด 8 ปี ในยุครัฐบาลไช่ จีนสามารถเดินเกมการทูตให้ 10 ประเทศ “เปลี่ยนข้าง” จากไต้หวัน มาอยู่กับรัฐบาลปักกิ่ง
แม้ไล่ยืนยันว่า จะสานต่อนโยบายการต่างประเทศแทบทั้งหมดของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่แน่นอนว่า จีนไม่มีทางพอใจ และส่งผลให้รัฐบาลปักกิ่งยุติการติดต่อทุกช่องทางในระดับรัฐกับไต้หวัน ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา หรือนับตั้งแต่ไช่รับตำแหน่ง แต่ว่าที่ผู้นำไต้หวันคนใหม่วัย 64 ปี ยังคงพยายามแสดงท่าทีประนีประนอมกับรัฐบาลปักกิ่ง โดยกำหนดเงื่อนไขเพียงว่า “ขอให้มีความเท่าเทียม”
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/01/34F88KZ-highres.jpg)
ขณะที่สหรัฐซึ่งแน่นอนว่า เป็นผู้สนับสนุนไต้หวันอย่างเปิดเผยในแทบทุกด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจและการทหาร ยังคงเน้นย้ำ “การยึดมั่นต่อหลักการจีนเดียว” และ “การไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน” แต่ตราบใดที่การแสดงออกของรัฐบาลวอชิงตันทุกยุคทุกสมัยในเรื่องไต้หวัน ยังคงสวนทางกับคำพูดที่ออกมา แน่นอนว่า ไต้หวันจะยังคงเป็น “เรื่องกวนใจ” ในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอยู่ตลอด ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างรู้ไส้รู้พุงกันดี ว่าอีกฝ่ายจะเดินเกมอย่างไร
อย่างไรก็ตาม การที่จีน “นิ่งและเงียบผิดคาด” หลังการเลือกตั้งของไต้หวันครั้งล่าสุดผ่านพ้นไป แม้สหรัฐส่งคณะผู้แทนเยือนกรุงไทเป รัฐบาลปักกิ่งเพียงออกมาตอบโต้ “ตามปกติ” อาจเป็นสัญญาณของความหวาดหวั่น และความน่าอึดอัดของความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบ ที่จะคงเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : AFP