ลิเวอร์พูล กับ เชลซี คือ 2 ทีม ที่มีปัญหานักเตะเจ็บเยอะที่สุดในฤดูกาลนี้ก็ว่าได้ และไม่ได้เกิดขึ้นแค่ช่วงใดช่วงหนึ่ง แต่เกิดขึ้นมาเกือบตลอด ก่อนเกม “คาราบาว คัพ” รอบชิงชนะเลิศ ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ทั้งคู่มียอดรวมแข้งเจ็บรวมกันเกือบ 20 คน

            หงส์แดง เจ็บหมดทั้ง โจเอล มาติป, ดีโอโก โชตา, อลิสซอน เบคเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, ติอาโก อัลคันตารา, เคอร์ติส โจนส์, สเตฟาน บายจ์เซติช, โดมินิก โซโบซไล, ดาร์วิน นูนเญซ รวมถึง โม ซาลาห์ ที่ต้องลุ้นเช็กฟิตก่อนเกม

            สิงห์สำอาง ก็เดี้ยงบาน ไล่ตั้งแต่ เวสลีย์ โฟฟานา, รีซ เจมส์, เบอร์นัวต์ บาเดียชิล, โรมิโอ ลาเวีย, มาร์ก กูกูเรยา, เลสลีย์ อูกูชุควู, ติอาโก ซิลวา, คาร์นีย์ ชุควูเมกา, โรเบิร์ต ซานเชซ

            ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคงส่งผลต่อเกมที่เวมบลีย์ไม่มากก็น้อย เพราะแต่ละคนที่เจ็บก็ล้วนเป็นตัวหลักที่ถ้าฟิตก็ได้ลงแน่ แต่นั่นก็จะเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของทีม และ “กึ๋น” ของกุนซืออย่างแท้จริง ว่าจะผ่านงานยากๆแบบนี้ไปได้หรือไม่ และยังไง

            ฤดูกาลสุดท้ายของ เจอร์เกน คลอปป์ กับ ลิเวอร์พูล และ ฤดูกาลแรกของ เมาริซิโอ โปเชตติโน กับ เชลซี ใครจะพาทีมคว้าแชมป์ จึงถือเป็นงานยาก และท้าทายจริงๆ

            แต่ถ้าใครผ่านไปได้ มันอาจเป็นการพลิกสถานการณ์ กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่พาทีมไปสู่ความยิ่งใหญ่ก็เป็นได้?

            ฟุตบอลคาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ

            เชลซี – ลิเวอร์พูล

            วันที่ : อาทิตย์ที่ 25 ก.พ. 67

            เวลา : 22.00 น.

            สนาม : เวมบลีย์ สเตเดี้ยม

            ถ่ายทอดสด : ช่อง 32

            เชลซี

            สิงห์สำอาง” ฟอร์มยังกระท่อนกระแท่น แต่สัปดาห์ก่อน บุกไปเสมอ แมนฯ ซิตี 1-1 ทำให้อยู่ที่ 10 ในลีก เตะ 25 นัด มี 35 คะแนน ยังพอมีลุ้นไปเล่นบอลยุโรป ส่วนเส้นทางในคาราบาว คัพ เริ่มด้วยการเฉือน วิมเบิลดัน 2-1, ต่อด้วยชนะ ไบรท์ตัน 1-0, ชนะ แบล็คเบิร์น 2-0, ดวลจุดโทษชนะ นิวคาสเซิล 4-2 หลังเสมอกัน 1-1 และรอบตัดเชือก บุกไปแพ้ มิดเดิลสโบรห์ ก่อน 0-1 แต่กลับมาถล่มในบ้าน 6-1 ทำให้ผ่านเข้าชิงฯด้วยประตูรวม 6-2 และมีลุ้นแชมป์สมัยที่ 6

            เมาริซิโอ โปเชตติโน มีปัญหานักเตะเจ็บเพียบ โดย เวสลีย์ โฟฟานา, รีซ เจมส์, เบอร์นัวต์ บาเดียชิล, โรมิโอ ลาเวีย, มาร์ก กูกูเรยา และ เลสลีย์ อูกูชุควู ลงไม่ได้แน่นอน ขณะที่ ติอาโก ซิลวา, คาร์นีย์ ชุควูเมกา รวมถึงผู้รักษาประตู โรเบิร์ต ซานเชซ ต้องเช็กความฟิต

            การจัดทัพ ซานเชซ น่าจะผ่านฟิตลงเฝ้าเสาได้ แดนหลัง ลีวาย โคลวิลล์ กับ อักเซล ดิซาซี เป็นคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ โดยมี เมโล กุสโต กับ เบน ชิลเวลล์ เป็นแบ๊ก 2 ข้าง แดนกลาง เอ็นโซ เฟร์นานเดซ, มอยเซส ไคเซโด และ คอนนอร์ กัลลาเกอร์ ทำเกมร่วมกับ แล้วใช้ โคล พาลเมอร์, ราฮีม สเตอร์ลิง และ นิโคลัส แจ๊คสัน เป็น 3 ประสานเกมรุก

            ลิเวอร์พูล

            หงส์แดง” เปิดรังถล่ม ลูตัน 4-1 ในเกมลีกกลางสัปดาห์ ทำให้ชนะ 3 เกมติด และชนะถึง 7 จาก 8 เกมหลังในลีก มี 60 คะแนน จาก 26 นัด นำจ่าฝูง โดยนำหน้า แมนฯ ซิตี 4 คะแนน แต่เตะมากกว่า 1 นัด ส่วนเส่นทางในคาราบาว คัพ ชนะ เลสเตอร์ 3-1, บุกเฉือน บอร์นมัธ 2-1, เปิดรังถล่ม เวสต์แฮม 5-1 และชนะ ฟูแลม ประตูรวม 3-2 ในรอบตัดเชือก ผ่านเข้าไปลุ้นแชมป์ลีก คัพ สมัยที่ 10 ของสโมสร

            เจอร์เกน คลอปป์ มีปัญหานักเตะล้นทีม โดยพวกที่ลงไม่ได้แน่นอนก็คือ โจเอล มาติป, ดีโอโก โชตา, อลิสซอน เบคเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, ติอาโก อัลคันตารา, เคอร์ติส โจนส์ และสเตฟาน บายจ์เซติช ส่วนกลุ่มที่มีลุ้น แต่ต้องเช็กฟิตก็คือ โดมินิก โซโบซไล, ดาร์วิน นูนเญซ และ โม ซาลาห์

            การจัดทัพใช้ ควีวิน เคเลเฮอร์ เฝ้าเสา แดนหลังมี เวอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ อิบราฮิมา โกนาเต เป็นคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ขณะที่ คอนนอร์ แบรดลีย์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เป็นแบ๊กขวา-ซ้าย แดนกลาง วาตารุ เอ็นโด, อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ทำเกม พร้อมวาง ซาลาห์, ดิอาซ และนูนเญซ เป็น 3 ประสานแดนหน้า

            ความน่าจะเป็นของเกม

            5 จาก 7 เกมหลังสุด ที่คู่นี้เจอกันในทุกรายการ จบลงด้วยผลเสมอ และ 4 จาก 5 เกม เป็นการเสมอแบบไม่มีสกอร์ แถมการเจอกันในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้ เมื่อปี 2022 ก็จบ 0-0 ใน 120 นาที ต้องยิงจุดโทษตัดสิน และเป็น ลิเวอร์พูล ชนะแบบมาราธอน 11-10 มีแค่เกมลีกที่แอนฟิลด์ ในฤดูกาลนี้ ที่ ลิเวอร์พูล ถล่ม เชลซี 4-1 นี่จึงเป็นเกมที่อาจจะสูสีกว่าที่คิด ยิ่ง เชลซี ตอนนี้ กลายเป็นทีมที่เอาแน่นอนไม่ได้ บทจะดีก็ดีใจหาย โดยเฉพาะการเจอทีมใหญ่ ที่มักทำได้ดีเสมอ

            บวกกับปัญหาเจ็บของทั้ง 2 ทีมที่เยอะมาก จึงอาจทำให้ขาดความเฉียบคม และมีความผิดพลาดส่วนบุคคล ยิ่งเป็นนัดชิงดำ คงไม่มีใครอยากแพ้ น่าจะประคับประคองสถานการณ์ คอยดูเชิงกันไปก่อน โดยเฉพาะฝั่ง เชลซี แต่ ลิเวอร์พูล ก็มีความมุ่งมั่นที่อยากจะได้แชมป์แรกในฤดูกาลสุดท้ายของ คลอปป์ จึงคงลุยก่อนตามสไตล์ ขณะที่ เชลซี รอจังหวะโต้ แต่ดูแล้ว เป็นบอล 3 หน้า ออกได้หมด และมีสิทธิเสมอใน 90 นาที ไปต่อเวลาพิเศษ และอาจยืดเยื้อถึงยิงจุดโทษได้

            ผลที่คาด

            เชลซี เสมอ ลิเวอร์พูล 1-1 (90 นาที)