กรณีบริษัท บ. จำกัด ประกอบกิจการขายส่งเวชภัณฑ์ยา แจ้งให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ เข้าร่วมเป็นพยานในการทำลายสินค้า (เวชภัณฑ์) ของเดือนพฤศจิกายน 2548 ถึงเดือนมกราคม 2549 มูลค่ารวม 3 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับคืนจากลูกค้าเนื่องจากเสื่อม สภาพ มีตำหนิ หมดอายุ หรือหมดสมัยนิยม และได้ผ่านการตรวจสอบโดยเภสัชกรประจำบริษัทฯ ว่าไม่สามารถนำมาจำหน่ายได้อีก บริษัทฯ ได้ตั้งคณะกรรมการจากฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี ฝ่ายประกันคุณภาพและแผนกคลังสินค้า เพื่อรับรองปริมาณและมูลค่าของสินค้าที่เสื่อมสภาพ

เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีสถานที่และเครื่องมือทำลายสินค้าจึงได้ว่าจ้างบริษัท ก. จำกัด ทำลายสินค้าด้วยวิธีบดทับแล้วฝังกลบ หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้มีหนังสือ 2 ฉบับ รายงานการทำลายสินค้าเพิ่มเติมต่อสำนักงานสรรพากร โดยมีภาพถ่ายเป็นหลักฐานแต่ไม่ได้แจ้งมูลค่าสินค้าที่ทำลายจริง และไม่ได้แจ้งว่าเศษซากสามารถนำไปใช้หรือจำหน่ายหรือไม่

(1) การทำลายสินค้าดังกล่าว บริษัทฯ นำมาถือเป็นรายจ่าย ได้หรือไม่อย่างไร

(2) ถ้าถือว่าเป็นรายจ่ายได้ให้ถือมูลค่าตามที่บริษัทฯ แจ้งการทำลายต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ ก่อนการทำลาย ใช่หรือไม่ เนื่องจากภายหลังการทำลายแล้วไม่มีการแจ้งมูลค่าที่ได้ทำลายจริงเพื่อทราบ กรณีบริษัท บ. จำกัด ประกอบกิจการขายส่งเวชภัณฑ์ยา ได้รับคืนสินค้าเวชภัณฑ์ยาจากลูกค้า ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่สามารถจำหน่ายได้ บริษัทฯ จึงมีหนังสือแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานสรรพากรพื้นที่ เข้าร่วมเป็นพยานในการทำลายสินค้า กรณีในวันทำลายสินค้าไม่มีผู้สอบบัญชีหรือผู้แทนมาเป็นพยานรับรองการทำลายสินค้าเนื่องจากบริษัทฯ ได้เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่ ณ วันที่ทำลายสินค้า และบริษัทฯ ไม่ได้แจ้งมูลค่าที่ทำลายจริงและไม่ได้แจ้งว่าเศษซากสวามารถนำไปใช้หรือจำหน่ายนั้น เนื่องจากคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 79/2541ฯ ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 เป็นเพียงคำสั่งที่กำหนดให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวปฏิบัติในการตรวจสอบ และแนะนำการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการทำลายของเสียเท่านั้น ดังนั้น หากบริษัทฯ มีเอกสารและหลักฐานที่ชัดแจ้งสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการทำลายสินค้าดังกล่าวจริง บริษัทฯ จึงมีสิทธินำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) และ (14) แห่งประมวลรัษฎากร.