ทว่าการต้อนรับดังกล่าวถูกยกเลิกภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ หลังรัฐบาลของเขาระงับโครงการ “ยูไนติง ฟอร์ ยูเครน” (Uniting for Ukraine) ซึ่งอนุญาตให้ชาวยูเครนมากกว่า 200,000 คน สามารถพำนักในสหรัฐได้อย่างถูกกฎหมาย
“เรามีบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขประกันสังคม และใบอนุญาตทำงาน แต่ถ้ารัฐบาลสหรัฐชุดใหม่ยกเลิกโครงการ เราก็จะสูญเสียทุกอย่างอีกครั้ง และต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรกอีกครั้ง” เดมีดอฟ วัย 39 ปี ซึ่งตั้งรกรากและเริ่มทำธุรกิจก่อสร้างขนาดเล็กในเมืองซานดิเอโก กล่าว
โครงการมนุษยธรรมของสหรัฐ เริ่มต้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อเดือน เม.ย. 2565 เพื่อมอบความปลอดภัยให้แก่ชาวยูเครนส่วนหนึ่งจากจำนวนหลายพันคน ที่หลบหนีการรุกคืบของรัสเซีย โดยหลายคนไปถึงชายแดนทางตอนใต้ของสหรัฐ และเข้าร่วมกับผู้คนที่สิ้นหวังจากอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ซึ่งต้องการลี้ภัยในสหรัฐ
แต่ทันทีที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สอง เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เขาก็เริ่มทำตามคำมั่นสัญญาที่จะปิดพรมแดน และลดจำนวนผู้อพยพอย่างมาก ซึ่งโครงการสำหรับชาวยูเครนก็ถูกระงับเช่นกัน ส่งผลให้ชาวยูเครนหลายหมื่นคนหวาดกลัว และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
ด้านนายวลาด เฟโดรีชิน ซึ่งตั้งถิ่นฐานในสหรัฐเมื่อปี 2563 และกลายเป็นผู้ประสานงาน และผู้สนับสนุนชาวยูเครนที่เดินทางมาถึงภายใต้โครงการมนุษยธรรม ได้รับสายโทรศัพท์ระหว่าง 20-30 สายต่อวัน จากผู้คนที่วิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขา
“หลายคนเริ่มเห็นผลกระทบของการระงับโครงการ เนื่องจากการเช่าอพาร์ตเมนต์ การหางาน และการสร้างชีวิตที่นี่ ถือเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขา และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ทำให้พวกเขากังวลมาก และเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย” เฟโดรีชิน กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ เฟโดรีชินเชื่อว่า รัฐบาลของทรัมป์ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่ของยูเครน ซึ่งพลเรือนมักถูกโจมตีจากกองกำลังรัสเซียบ่อยครั้ง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายสหรัฐที่มีต่อยูเครนอย่างกะทันหัน สร้างความไม่พอใจและความสับสนให้กับชาวยูเครน
สำหรับเฟโดรีชิน วัย 26 ปี เขาเรียนรู้จากหนังสือเรียนว่า สหรัฐและประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เป็นพันธมิตรและผู้คุ้มครองของยูเครน แต่การที่เขาเห็นทรัมป์ตำหนิประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ที่ทำเนียบขาว เมื่อเดือนที่แล้ว ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก
อนึ่ง เฟโดรีชินพบว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า ประเทศอื่น ๆ ที่เปิดประตูให้กับชาวยูเครนในช่วงเริ่มต้นของสงคราม จะต้องการต้อนรับผู้อพยพมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน การกลับบ้านก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับชาวยูเครน.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP