เมืองไทยยังแรงไม่มีแผ่ว ยิ่ง “สนธิ ลิ้มทองกุล” กับ “จตุพร พรหมพันธุ์” คนที่เคยเดินคนละเส้นทางการเมือง ออกมากอดกันกลม ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองคุกรุ่นไม่ว่าจะเป็นปัญหา “ฮั้วสว.” หรือ คดีชั้น 14 กับการขยับตัวนายกใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทย ทำให้เกิดการเชื่อมโยงเข้าหากัน “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงไม่พลาด เปิดอกคุยกับ รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมายมาวิเคราะห์การเมืองจากภาพที่เกิดขึ้นของการเมืองไทยในเวลานี้
โดย“เจษฎ์” เปิดประเด็นว่าในอดีต “จตุพร กับสนธิ” อาจจะมีมุมมอง และมวลชนทางการเมืองที่ต่างกัน โดยนายสนธิ อยู่ฝ่ายต่อต้านคุณทักษิณ ขณะที่ “จตุพร” อยู่ฝ่ายสนับสนุน แต่เมื่อเดินมาเรื่อยๆ แล้ว อาจจะมองเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ จากที่จะสนับสนุนจึงปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินแล้วมาบรรจบกับ “สนธิ” พอดี
วันนี้แม้ยังมีหลายกลุ่มอยู่ แต่ภาพที่ชัดเจนคือ “ทักษิณ” ที่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องการรับโทษเท่านั้น แต่เพราะ 1. เรื่องส่วนตัวของ “ทักษิณ” ที่ขยายตัวเป็นปัญหาของบ้านเมือง 2.เรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล การทำงาน การทำหน้าที่ การผูกโยงสายสัมพันธ์ ยึดผลประโยชน์ทางการเมืองที่วิ่งผ่านตัว “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นเรื่องส่วนรวมที่เอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาขับเคลื่อน และ 3.การเคลื่อนไหวของ “ทักษิณและคนรอบตัว” ทำให้เกิดผลกระทบต่อสถาบันหลักของบ้านเมือง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่จึงทำให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนมุ่งไปที่ 3 เรื่องนี้
@ เรื่องที่โยงกับนายทักษิณ รวมถึงเรื่องฮั้วสว.หรือไม่ หรือเป็นคนละเรื่อง
เรื่องสว.อาจเกี่ยวพันกับทุกฝ่าย อาจมีการกล่าวอ้างว่า สว.สายสีน้ำเงิน โดยเอาไปโยงกับพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่รู้ว่าสายสีแดง สายสีส้มมีการดำเนินการอะไรแบบนี้หรือไม่ อาจทำกันทั้งหมดก็ได้ แต่บังเอิญสายสีน้ำเงินทำได้ดีกว่าเลยได้จำนวนคนมาเป็นกอบเป็นกำ อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้ต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน และถูกพิสูจน์
สมมติว่าสายแดงอาจจะแทนด้วยพรรคเพื่อไทย รวมถึงตัว “ทักษิณ” อาจจะไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการฮั้วสว.เลย แต่การงาน หรือทำอะไรสักอย่างเกี่ยวข้องกับสว.นั้นอาจจะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ถ้ามองผลทางคดีแล้ว คิดว่าคดีชั้น 14 น่าจะไปได้เร็วกว่า ซึ่งขณะนี้อยู่ในมือศาล ที่จะพิจารณาในวันที่ 13 มิ.ย. ก็ไม่ทราบว่าจะพิจารณาไปในแนวทางไหน เราไม่อาจก้าวล่วงหรือสรุปได้ แต่เรื่องสว.ช่วงนี้แม้ว่าจะงวดมาแต่ยังต้องใช้เวลาในการสอบสวน ไต่สวน คนเยอะ รายละเอียดมาก
@ ไม่ว่าเรื่องไหนจบก่อนจะทำให้เปลี่ยนเกมการเมืองหรือไม่
ตอนนี้ที่ต้องคิดคือ พรรคเพื่อไทย หรือพลพรรคแวดล้อม “ทักษิณ” กำลังมีความพยายามจะเข็นร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภา อาจเข้าก่อนวันที่ 13 มิ.ย.ด้วยซ้ำ ถ้าทำได้ก็จะเกิดการตัดตอนทุกอย่าง แล้วจะทำให้เกิดปัญหาเหมือนคราวที่แล้ว ที่ทำให้เกิดม็อบ และตามมาด้วยรัฐประหาร ซึ่งต้องระวัง แต่ไม่คิดว่าสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของ “สนธิ กับจตุพร” เพราะวันนี้ทุกคนเห็นว่ารัฐประหาร ทหารเข้าไปบริหารประเทศลุ่มๆ ดอนๆ ท้ายสุดก็จับมือกับ “ทักษิณ” อีก
@ ตุลาการภิวัฒน์จะกลับมาหรือไม่
สำหรับผมแล้วไม่เคยมีตุลาการภิวัฒน์ ตุลาการศาลทั้งหลายจะพิจารณาคดีไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ที่เขียนไว้ แต่ก็ยังมีการตีความตามเจตนารมณ์ซ่อนอยู่ด้วย ศาลจึงต้องพิจารณาว่า กฎหมายเขียนแบบนี้ประสงค์อย่างไร เจตนาอย่างไร และพิจารณาไปตามนั้น และเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็ต้องไปแบบนี้ โดยทั่วไป การที่ศาลท่านจะไปแสวงหาอะไรที่เป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีมาใช้นั้นมีจำกัดมาก แบบนั้นเรียกว่าตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งก็แปลว่าศาลพิจารณาในกรอบความเป็นธรรม ซึ่งมันอาจจะไปไกลกว่าบทบัญญัติของกฎหมายที่เป็นตัวอักษร แต่มันไม่พ้นจากตัวอักษร ความเป็นธรรมก็อยู่ในบทบัญญัติของกฎหมาย แต่คนที่ถูกลงโทษน้อยคนในโลกที่มองว่า ตัวเองถูกลงโทษแล้วจะบอกว่าสาสมแล้ว ควรถูกลงโทษ
@ พรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่กับแบบตบจูบจะไปกันรอดหรือไม่
ตามสมการการเมืองตอนนี้ จะเป็นสมการอื่นได้ยาก ว่ากันตามครรลองการเมืองของประเทศไทยคือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันเลยยากอยู่ ถ้ามีปัจจัยอื่นแทรกเข้ามาก็ไม่แน่ อาทิ การชุมนุมใหญ่ หรือคุณทักษิณถูกศาลสั่งว่าต้องรับโทษจำคุก ซึ่งไม่ใช่แค่ปีเดียว อาจจะทำให้สมการเปลี่ยน แต่ถ้าไม่มีอะไร ทางฝั่งแดงหรือคุณทักษิณก็มีอะไรที่ประคับประคองตัวได้ จะไปจับกับส้มก็ยังหาหนทางไปด้วยกันไม่ได้ ดังนั้นยังลากถูลู่ถูกังกันไปได้ แต่เชื่อว่าเขาไม่รอจนครบวาระ คงหาจังหวะเมื่อใกล้หมดวาระก็ชิงจังหวะยุบสภา แต่คงไม่ใช่ตอนนี้
“จังหวะนี้ยังไม่มีใครถือไพ่เหนือกว่า ยังแลกกันคนละหมัด จริงๆ ในมุมมองของบ้านเมืองภาพไม่สู้ดีสักฝ่าย ถามประชานชนที่กลางๆ เขามองออกว่าทุกคน ทุกฝ่ายมีปัญหา มองแต่ตัวเอง คิดแต่พวกพ้อง บ้านเมืองอยู่ตรงไหน ประชาชนอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ แปลว่าคนไม่ได้มองว่าคนเหล่านี้จะดีนักหนา เพียงแต่มันยังไม่มีหนทางที่ดีไปกว่านี้”
@ มองว่ารัฐบาลแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนตอบโจทย์ไหม
ต้องบอกว่าแย่ ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่สิ่งที่ควรทำกลับไม่ทำ นี่เป็นปัญหาหนักมาก ต่อให้ “ทักษิณ” มาบริหารเองก็อาจจะไม่ได้ดีกว่าน.ส.แพทองธาร เท่าไหร่ เพราะสถานการณ์โลก และภาษีอเมริกา การต่อสู้ของมหาอำนาจที่กระทบไทย รัฐบาลก็ไม่สามารถฝ่าลำนาวานี้ไปได้ อย่าไปอ้างว่าประเทศเขาใหญ่ มันมีวิถีทางพาประเทศไปให้ได้ แต่คุณไม่ได้พาไปในลักษณะนั้น
“ขณะที่การปูพื้นเรื่องสำคัญของบ้านเมืองไม่มี การศึกษาย่ำแย่ สาธารณสุขถดถอย สังคมฟอนเฟะ ทุกเรื่อง ถ้าสรุปเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ คือ ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ นั่นแหละคือสิ่งที่พาให้บ้านเมืองไปสู่ภาวะการณ์ที่ใกล้จะวิบัติ”
ถ้ารัฐบาลเริ่มทำในตอนนี้ประชาชนยังพอมีกิน มีใช้อยู่ แต่ต้องบอกว่า ถ้าประชาชนตื่นรู้ขึ้นมาว่าเราต้องช่วยกัน และต้องตัดเนื้อร้าย จะชอบ หรือไม่ชอบ “ทักษิณ” หรือ น.ส.แพทองธาร พรรคเพื่อไทย แต่เราเห็นแล้วว่าพลพรรคเขาเป็นเนื้อร้าย ในขณะที่ เนื้อที่ไม่รู้ว่าร้ายหรือไม่ร้ายอย่างพรรคประชาชน ก็ไม่ได้ทำอะไร การค้านก็ไม่ได้ค้านอย่างมีนัยยะสำคัญ เรื่องที่ควรจะถูกตัดคุณก็ไม่พูด เรื่องที่เขาย้ำยีความยุติธรรม ทำให้เศรษฐกิจเกิดปัญหาคุณก็ไม่ว่าอะไร
ดังนั้นสำคัญประชาชนจะไปรักคนอื่น รักพรรคการเมือง นักการมากกว่าตัวเอง ปากท้องตัวเอง หรือพี่น้องตัวเอง ประชาชนทั้งแผ่นดินอย่างนั้นหรือ
ถ้าถามว่าตอนนี้ประเทศถึงทางตัดหรือไม่ สำหรับผมบ้านเมืองไม่เคยตัน ก็หาวิธีไปได้ แต่ว่าจะลำบากยากแค้นแค่ไหน ตอนนี้ยังไม่ขนาดนั้น ตอนนี้ ถ้าเทียบกับการเพาะปลูก มันเหมือนภัยแล้งกำลังมา แต่ถ้าปล่อยไปสักพักแล้วมันจะแล้ง และมันจะแร้นแค้น.