ถือเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่เสียงแตกสุด ๆ สำหรับ “Eternals ฮีโร่พลังเทพเจ้า” หนังซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย  “มาร์เวล สตูดิโอส์” ผลงาน โคลอี้ เจา ผู้กำกับชาวจีน เจ้าของรางวัลออสก้าร์ ปีล่าสุด ที่ดูเหมือนไม่ค่อยถูกใจนักวิจารณ์ โดนกดคะแนนซะยับจนได้มะเขือเน่าใน Rotten Tomatoes เพียง 47% แต่ในทางตรงข้ามกลับโดนใจผู้ชม คว้าคะแนนฝั่งคนดูไปถึง 80% แถมยังพิสูจน์ด้วยการทำรายได้เปิดตัวทั่วโลกสูงถึง 161.7 ดอลลาร์ (กว่า 5,340 ล้านบาท) ทีเดียว

สำหรับเนื้อเรื่องถือว่า “ออกนอกกรอบ” ของ มาร์เวล แต่ส่วนตัวมองว่าดี เพราะทำให้แฟนหนังฮีโร่ได้ลิ้มลองเรื่องราวซูเปอร์ฮีโร่ในรสชาติใหม่ ที่อาจไม่ได้มันหยด แต่ก็ลึกซึ้ง ละเมียดละไม ที่สำคัญยังคงเต็มไปด้วยปรัชญา การตั้งคำถามต่อห่วงโซ่อาหาร ผู้ล่าสูงสุด การรักษาเผ่าพันธุ์ การเสียสละบางชีวิตเพื่อสร้างชีวิตอีกมหาศาล แก่นเรื่องตรงนี้ยังคงทำได้ดี และหาผู้ที่คิดถูกหรือผิด หรือเป็น “ตัวร้าย” ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เจอ เพราะทุกตัวละคร “มีเหตุผล” ของตัวเอง

เนื้อเรื่องอาจโดนหรือไม่โดนใจผู้ชม เป็นเรื่องรสนิยมส่วนตัว และเคารพทุกความคิดเห็น แต่สิ่งที่อยากชื่นชมและเห็นเป็นเอกฉันท์คือการยอมรับในความหลากหลาย ทั้งในส่วนคาแรกเตอร์และการเลือกนักแสดงจากหลากเชื้อชาติ มารับในแต่ละบท โดยยังคงอัตลักษณ์นักแสดงเอาไว้ ทั้ง “เอแจ็ก” ผู้นำกลุ่ม  Eternals หรือ Prime Eternal  ที่มีพลังในการเยียวยารักษา ซึ่งในคอมิคเป็นผู้ชาย แต่เวอร์ชั่นหนัง ถูกเปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่มาพร้อมความอบอุ่นแบบ “คุณแม่” แสดงโดย ซัลมา ฮาเย็ค นักแสดงเชื้อสายเม็กซิกัน ซึ่งเธอถึงกับร้องไห้ตอนที่ได้เห็นตัวเองในชุดซูเปอร์ฮีโร่ครั้งแรก พร้อมเผยความรู้สึกว่าการได้เห็นใบหน้าตัวเอง ใบหน้าของคนผิวสีน้ำตาลในชุดซูเปอร์ฮีโร่ มันดึงความทรงจำตอนเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่กล้ามีความฝันใหญ่ ๆ และเห็นใบหน้าเด็กผู้หญิงทุกคน ทำให้เธอตระหนักว่าการที่ประตูสู่บทนี้เปิดออก มันไม่ใช่สำหรับเธอเพียงคนเดียว แต่สำหรับชาวลาติโน่ทุกคน ที่รอช่วงเวลานี้มานานด้วย!

เอแจ็ก

อีกหนึ่งตัวละครที่โดดเด่น คือ “มัคคารี” ฮีโร่ที่มีพลังเร็ว ซึ่งในเวอร์ชั่นคอมิคเป็นผู้ชายเช่นกัน แต่ในหนังเรื่องนี้ได้ ลอเรน ริดลอฟฟ์  นักแสดงสาวหูหนวกชาวอเมริกัน เชื้อสายเม็กซิกัน-แอฟริกัน มารับบท และเป็นฮีโร่หูหนวกคนแรกในจักรวาลมาร์เวล ซึ่งการแสดงของเธอก็น่าประทับใจ และทำให้มีคนสนใจภาษามือมากขึ้น โดย “Preply” แพลตฟอร์มเรียนภาษาเผยว่ามีผู้ค้นหาคำว่า “เรียนภาษามือสำหรับมือใหม่” เพิ่มขึ้นกว่า 250% และ “ฮีโร่หูหนวกคนแรก” ก็ถูกค้นหาเพิ่มกว่า 550% งานนี้  ลอเรน บอกว่าเรื่องนี้มีความหมายต่อลูกชายสองคนของเธอ ที่เป็นหูหนวกเหมือนกับเธอ สำหรับการเติบโตขึ้นมาในโลกที่มีซูเปอร์ฮีโร่หูหนวก นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถฝันใหญ่ได้กว่านี้อีกนิด!

มัคคารี

ขณะที่ ไบรอัน ไทรี เฮนรี ที่รับบท “ฟาสโตส” อัจฉริยะนักประดิษฐ์  ซูเปอร์ฮีโร่เกย์คนแรกของจักรวาลมาร์เวล ก็ได้ถาม โคลอี เจา หลังได้รับการเสนอบทนี้ว่า เขาต้องลดน้ำหนักเท่าไหร่ แต่ผู้กำกับคนดังกลับตอบว่า “เราต้องการในแบบที่คุณเป็น”   ไบรอัน บอกว่าสิ่งนี้มีความหมายต่อเขา “การเป็นคนผิวดำ แล้วใครสักคนมองมาที่คุณ แล้วบอกว่า ‘เราอยากได้ในแบบที่คุณเป็น’ เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันกระตุ้นให้ผมกลายเป็นเด็กอายุ 11 ขวบที่กำลังดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่ไม่เคยเห็นใครที่เหมือนผมถูกสะท้อนออกมา ผมหวังว่าวันหนึ่งจะมีใครสักคนที่เป็นตัวแทนของผมและเป็นในแบบที่ผมเป็น ผมเชื่อว่าช่วงเวลานั้นได้เริ่มต้นขึ้นตอนที่นั่งคุยกับโคลอี”

ฟาสโตส

เช่นเดียวกับ ริชาร์ด แมดเดน นักแสดงชาวสกอตแลนด์ ที่มารับบท “อิคาริส”  ผู้ทรงพลังและแข็งแกร่ง สามารถปล่อยแสงออกจากตาและบินได้ ซึ่งทาง “มาร์เวล” ไม่เคยขอให้เขาย้อมสีผมเป็นสีบลอนด์ตามคอมิคเลย โดย ริชาร์ด ใช้สีผมตามธรรมชาติของเขาที่มีผมขาวแซม และเขายังใช้สำเนียงสก็อตต์ บ้านเกิดของเขาในหนังอีกด้วย!

อิคาริส

นักแสดงที่เหลือก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้ง แองเจลินา โจลี่ ซุป’ตาร์ตัวแม่ ที่มีลูก ๆ หลากหลายเชื้อชาติอยู่ในครอบครัว เธอมารับบทเทพีสงคราม “ธีน่า” ที่สามารถสร้างอาวุธจากพลังแห่งจักรวาลที่ปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการได้ , มาดงซอก นักแสดงดังจากเกาหลีใต้ มารับบท “กิลกาเมช”  ผู้มีกำลังมหาศาลและหมัดที่แข็งแกร่ง , เจมมา ชาน นักแสดงชาวอังกฤษเชื้อสายฮ่องกง รับบท “เซอร์ซี” ผู้รักมนุษย์ และมีพลังสามารถเปลี่ยนแปลงสสารหรือสิ่งของได้ , แบร์รี่ คีโอแกน นักแสดงชาวไอริช รับบท “ดรูอิก” ที่มีพลังควบคุมจิตใจ, คูเมล นานจิอานี นักแสดงเชื้อสายอเมริกัน-ปากีสถาน รับบท “คิงโก” สามารถปล่อยพลังจากมือของเขาได้ และ ลีอา แม็กฮิว นักแสดงเด็ก มาบท “สไปรท์”  ที่เปลี่ยนจากฮีโร่ในร่างเด็กผู้ชายจากคอมิคมาเป็นเด็กผู้หญิงในหนังเช่นกัน โดยมาพร้อมพลังการสร้างภาพลวงตา

ธีน่า
กิลกาเมช
เซอร์ซี
มัคคารี – ดรูอิก
คิงโก
สไปรท์

ส่วนเรื่องราวก็นำเสนอให้เห็นวัฒนธรรมในหลายยุค ทั้ง อาณาจักรบาบิโลเนีย, จักรวรรดิแอซเท็ก และอารยธรรมอินเดีย รวมถึงยังถ่ายทอดความสัมพันธ์คู่รัก LGBTQ+  ซึ่ง “มาร์เวล” และ โคลอี เจา ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ตัดฉากจูบของ “ฟาสโตส” และสามีในเรื่องออก แม้จะมีหลายประเทศแบนหากมีฉากเหล่านี้ เรียกว่าค่ายและผู้กำกับแสดงจุดยืนสนับสนุนความงดงามของรูปแบบความรักที่หลากหลาย  ชนิดไม่แคร์โอกาสที่อาจสูญเสียรายได้ทีเดียว

“Eternals ฮีโร่พลังเทพเจ้า” อาจไม่ใช่หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดในสายตาของหลายคน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่งดงามที่สุดในแง่ของทัศนคติ การยอมรับความหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ ความรัก และบุคคล ที่สำคัญยังเป็นการตอกย้ำว่า “ทุกคนสามารถเป็นซูเปอร์ฮีโร่ได้” ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน เป็นคนชาติอะไร  หรือมีรูปลักษณ์ คุณสมบัติยังไงก็ตาม!

ภาพ : Marvel Studios