แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฉลองการคุมทัพนัดแรกของ ราล์ฟ รังนิก กุนซือคนใหม่ ได้อย่างงดงามเลยนะครับ หลังเก็บชัยชนะเหนือ คริสตัล พาเลซ คู่แข่งตัวแสบที่เคยบุกมาเชือดพวกเขาถึงรัง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในศึกพรีเมียร์ลีก 2 ฤดูกาลล่าสุด ได้อย่างหวุดหวิด 1-0

            สกอร์ที่ออกมาแม้จะไม่ได้ขาดลอยเหมือนที่หลายคนคาดหวังเอาไว้ แต่เชื่อว่า เด็กผีทั่วทุกมุมโลกน่าจะพอใจไม่น้อยกับความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีที่ได้เห็นจากทีมรักในเกมนี้

            ก่อนลงสนามพบกับ “ปราสาทเรือนแก้ว” รังนิก มีเวลาคุมทีมลงซ้อมแค่หนเดียว โดยใช้เวลาราว 45 นาที ทว่าสิ่งที่นักเตะสายพันธุ์อสูรแสดงออกมาให้เห็นในสนามนั้น ทำให้ กุนซือชาวเยอรมัน ต้องยอมรับเองว่า อดประหลาดใจไม่ได้เพราะมันยอดเยี่ยมกว่าที่ตัวเขาคาดหวังเอาไว้เยอะทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องของความมุ่งมั่นตั้งใจ และสภาพร่างกายที่หลายคนดูจะวิ่งได้แบบไม่มีหมด

            เกมนี้ รังนิก ใช้ทีมตัวจริงชุดเดียวกับนัดที่ชนะ อาร์เซนอล 3-2 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และจัดนักเตะลงสนามในระบบ 4-2-3-1 มี ดาบิด เด เคอา เป็นนายทวาร แนวรับประกอบ ดีโอโก ดาโลต์, วิคตอร์ ลินเดเลิฟ, แฮร์รี แม็กไกวร์ และอเล็กซ์ เตลลิส แดนกลางใช้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด เป็นมิดฟิลด์คู่กลาง ขณะที่ตัวรุกเป็น เจดอน ซานโช, บรูโน แฟร์นันด์ส และมาร์คัส แรชฟอร์ด โดยมี คริสเตียโน โรนัลโด ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า

            ทว่าพอลงสนามผังการยืนของนักเตะผีแดงกลับไม่ใช่ 4-2-3-1 แต่กลายเป็น 4-2-2-2 โดยมีคู่หูแม็คทอมปักหลักหน้าแนวรับ,  ซานโช กับ แฟร์นันด์ส หุบเข้ามาเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกฝั่งซ้าย และขวา โดยไม่ได้ยืนเกาะเส้นเหมือนในยุคของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ขณะที่ แรชฟอร์ด ถูกดันขึ้นไปยืนเป็นกองหน้าคู่กับ โรนัลโด

            แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มต้นเกมอย่างคึกคัก และใช้การเพรสซิ่งตั้งแต่แดนบนเล่นงาน พาเลซ จนขึ้นเกมไม่ได้ แถมยังเป็นการเพรสซิ่งในรูปแบบที่ถูกต้องตามตำรา โดยรุมเข้าไปหาคู่แข่งพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่ต่างคนต่างเข้าจนกลายเป็นลิงเหมือนที่เคยเล่นตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

            นอกจากนี้แนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังขยับขึ้นมาสูงจนเกือบถึงกึ่งกลางสนาม ซึ่งทำให้เกมในแดนกลางของพวกเขาแน่น และกระชับขึ้นมากทีเดียว

            ที่สำคัญนักเตะ เรด เดวิลส์ ทุกคนพร้อมเดินเข้าหาคู่แข่งทุกจังหวะ ไม่มัวแต่ยืนจด ๆ จ้อง ๆ จนชวนให้รู้สึกหงุดหงิดตามง่ามนิ้วมือนิ้วเท้าเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

            ส่วนเกมรุกบอลของ แมนฯ ยูไนเต็ด เคลื่อนไปข้างหน้ามากขึ้น และด้วยสปีดที่สูงขึ้น แถมยังมีการเข้าทำที่หลากหลายทั้งการต่อบอลทำชิ่งเข้าไปตามช่อง การเติมขึ้นมาครอสบอลของฟูลแบ๊กทั้ง 2 ข้าง และการวางบอลยาว ๆ จากแนวลึกเพื่อให้กองหน้าที่มีความเร็วอย่าง แรชฟอร์ด หรือ โรนัลโด โฉบเข้าไปรับบอลหลังแนวรับ

            ด้วยวิธีการเล่นทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาทำให้ต้องพูดเลยว่า นี่คือหนึ่งในเกมที่ดูสนุกที่สุดของ อดีตแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว

            อย่างไรก็ตาม ต้องชม พาเลซ ที่ด้วยเช่นกันเล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น และเป็นระบบระเบียบจนทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด แทบจะหาโอกาสส่องประตูแบบจะแจ้งไม่ได้เลย แม้จะมีโอกาสลุ้นถึง 16 ครั้งก็ตาม ก่อนจะมาได้ประตูชัยจากปั่นโค้ง ๆ ด้วยเท้าขวาข้างไม่ถนัดของ เฟร็ด ในนาทีที่ 77

            กระนั้นแม้จะมีรูปแบบการเล่นที่ดีขึ้นทั้งในเกมรับ และเกมรุก แต่เกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังคงมีข้อบกพร่องให้เห็นเหมือนเดิม โดยเฉพาะการออกบอลพลาดง่าย ๆ ที่ยังมีให้เห็นแทบตลอดทั้งเกม ทว่าไม่ได้สร้างความเสียหายมากนักเพราะเกมนี้นักเตะอสูรแดงมักจะแย่งบอลกลับคืนมาไว้ในครอบครองได้อย่างรวดเร็ว

            สถิติบันทึกเอาไว้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถแย่งบอลคืนในพื้นที่สุดท้ายได้ถึง 6 ครั้งในช่วงเวลา 25 นาทีแรกของเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด และทำได้อีกถึง 6 ครั้ง ก่อนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย ทั้งที่ก่อนหน้านี้สถิติสูงสุดของพวกเขาในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อยู่ที่ 7 ครั้งในหนึ่งเกมเท่านั้นเอง

            จากความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเห็นได้ชัดเจนว่า นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมอ้าแขนต้อนรับปรัชญาลูกหนังสไตล์ “เกเกนเพรสซิ่ง” ของ รังนิก แน่นอน และก็เป็นเรื่องน่าติดตามเหลือเกินว่า จะเกิดนรกอะไรขึ้นต่อไปในภายภาคหน้าเมื่อพลพรรค “ปิศาจแดง” ลุกขึ้นมาบรรเลงเพลงร็อกกับเขาบ้างอย่างนี้.

แท ยอน