ในช่วงที่ผ่านมา เราคงจะเห็นข่าวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ที่มีการระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ “โรคซึมเศร้า” มาให้เห็นเป็นระยะ โดยที่คนทั่วไปหรือหลายๆ คนอาจจะคิดว่า โรคซึมเศร้าเป็นเพียงอาการหรือสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วครู่ หลังจากได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจและสามารถรักษาได้ด้วยการให้กำลังใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว “โรคซึมเศร้า” มีความรุนแรงกว่าที่คิด หากปล่อยไว้และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง วันนี้ Healthy Clean มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกัน

โดย นายแพทย์อดิศร มนูสาร อายุรแพทย์ โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ได้เผยความรู้เกี่ยวกับ “โรคซึมเศร้า” ว่า สำหรับโรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง อันเกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง 3 ชนิด ได้แก่ ซีโรโตนิน (Serotonin) นอร์เอปิเนฟริน (Norepinephrine) และโดปามีน (Dopamine) ซึ่งส่งผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม รวมไปถึงสุขภาพกาย มีสาเหตุมาจากพันธุกรรม สารเคมีในสมอง สภาพแวดล้อม เช่น การเลี้ยงดูของพ่อแม่ อิทธิพลจากคนใกล้ชิด การเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ลักษณะนิสัย โดยเฉพาะคนที่อ่อนไหวง่าย คิดมาก มองโลกในแง่ลบ โดยในส่วนของคนไทย ก็มีข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตที่พบว่า “คนไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามากถึง 1.5 ล้านคน”

แล้วเราจะสังเกตคนรอบตัวได้อย่างไร?.. สำหรับอาการของผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้านั้น โดยทั่วไปจะมีอาการเศร้า หดหู่ ซึม หงุดหงิด โกรธง่าย มีอารมณ์รุนแรง เบื่อหน่าย หมดความสนใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เคยชอบมากๆ นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ อาจหลับมากเกินไป เบื่ออาหารหรือกินมากเกินไป เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง ไม่มีพลัง ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเลย ไปจนถึงรู้สึกตัวเองไร้ค่า ไม่มั่นใจในตัวเอง โทษตัวเอง มีความคิดทำร้ายตัวเอง หรือร้ายแรงที่สุดก็คือการอยากฆ่าตัวตาย “หากมีอาการดังกล่าวข้างต้นอยู่เกือบตลอดเวลา เป็นเวลาติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 14 วัน ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน” 

โดยแพทย์จะตรวจวินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติ สอบถามอาการและเรื่องราวจากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิด หรือทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา เพื่อให้เข้าใจและแน่ใจว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า ในบางรายที่สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีโรคทางร่างกายอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการที่พบ อาจมีการตรวจร่างกาย และส่งตรวจพิเศษที่จำเป็น

สำหรับ “แนวทางการรักษา” มีหลายวิธี ได้แก่ “รักษาด้วยการใช้ยา” โดยในปัจจุบันยารักษาโรคซึมเศร้าถือเป็นยาที่ปลอดภัย ไม่ค่อยมีผลข้างเคียง ไม่ทำให้เกิดการติดยา และไม่ทำให้เกิดอาการมึนงงอย่างที่เข้าใจผิดกัน นอกจากนี้ควรกินยาตามที่แพทย์สั่ง และไม่ควรหยุดยาเองโดยเด็ดขาด รักษาด้วยจิตบำบัดและการพูดคุยให้คำปรึกษา โดยแพทย์จะช่วยเหลือชี้แนะการมองปัญหาต่าง ๆ ในมุมมองใหม่ และแนวทางในการปรับตัว หรือแม้แต่การหาสิ่งที่ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายความทุกข์ใจลง และรักษาด้วยไฟฟ้า ในรายที่มีอาการรุนแรง

และ “ฝึกคิดบวกให้ห่างไกลจากโรคซึมเศร้า” รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยหากขาดสารอาหารบางอย่างไป เช่น โอเมก้า 3 วิตามินอี วิตามินซี วิตามินดี ทองแดง และธาตุเหล็ก อาจทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น หมั่นออกกำลังกาย โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกัน 30-40 นาที และพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด

ในด้านการใช้ชีวิต ควรหลีกเลี่ยงการนำตนเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้จิตใจหดหู่  ฝึกคิดบวก ควรหาเวลาออกไปทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีๆ สนุกสนาน ทำให้ตนเองรู้สึกมั่นใจและมีคุณค่า และได้ใช้เวลาร่วมกับคนอื่นๆ มากกว่าที่จะอยู่คนเดียว

แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือวิธีปฏิบัติตัวของคนรอบข้าง หากพบว่าคนใกล้ชิดเป็นโรคซึมเศร้า นอกจากการพาไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม และย้ำเตือนให้รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง “ที่สำคัญคือ ควรระวังเรื่องการใช้คำพูดที่บั่นทอน ซ้ำเติม หรือดูเหมือนปัญหาของเขาเป็นเรื่องเล็ก” เช่น เรื่องแค่นี้เอง คนอื่นยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย แต่ควรให้กำลังใจด้วยคำพูดดี เช่น ฉันอยู่ข้างๆ เธอนะ เธอยังมีฉันอยู่นะ พูดคุยแบบรับฟังโดยไม่ตัดสิน เป็นต้น แสดงออกผ่านการกระทำ เช่น กอด จับมือ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า “โรคซึมเศร้า” นั้นเป็นโรคทางจิตเวชที่เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง “โรคซึมเศร้าไม่ใช่ความอ่อนแอทางด้านจิตใจของผู้ป่วยและไม่ใช่โรคประหลาด” โรคนี้เป็นได้ก็สามารถรักษาให้หายได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยไม่ต้องกลัวที่จะเข้ารับการรักษา เพราะยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่อาการก็จะยิ่งดีขึ้นเร็วเท่านั้น…

…………………………..
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”