สุดสัปดาห์ที่แล้ว หลังจบเกมลีกนัดก่อนหน้านี้ที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านทุบ เบรนท์ฟอร์ด นิ่มเกือก จำได้ว่าเพิ่งเขียนไปว่าชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง

แม้ “หงส์แดง” จะยังตามหลัง แมนฯ ซิตี ค่อนข้างไกล แถมลูกทีมของ เปป กวาร์ดิโอลา ยังเข้าเบรกยาว ๆ ไม่มีแผ่วอย่างกับ รอนนี โอซุลลิแวน ในวันที่เข้าฝัก…!

แต่มาถึงสัปดาห์นี้ เรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิด ดันเกิด เมื่อ “เรือใบสีฟ้า” เครื่องสะดุดหยุดรอทีมอื่นกับเขาบ้าง หลังได้แค่เสมอ เซาปธมป์ตัน เมื่อวันเสาร์ เป็นโอกาสอันดียิ่งให้ “หงส์แดง” ลดช่องว่างให้เขยิบเข้าไปอีกนิด ชิดเข้าไปอีกหน่อย

และด้วยโปรแกรมสัปดาห์นี้คือการเยือน คริสตัล พาเลซ ที่ 5 เกมหลังในลีกชนะเกมเดียว แถมเป็นทีมที่ เจอร์เกน คลอปป์ เพิ่งนำลูกทีมบุกไปยิงยับเยินถึง 7-0 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก่อนเกมหากจะบอกว่าใส่ 3 แต้มให้ “หงส์แดง” ล่วงหน้าได้เลย ก็อาจจะไม่มีใครคัดค้าน…

เกมนี้ คลอปป์ จัดเต็มเช่นเคย โดยเปลี่ยน 11 ตัวจริงจากเกม คาราบาว คัพ กับ อาร์เซนอล เมื่อกลางสัปดาห์แค่ตำแหน่งเดียว โดยใส่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลงมาป๋น 3 ตัวบนร่วมกับ ดีโอโก โชตา และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน แทนที่ไอ้หนู เคด กอร์ดอน ส่วนที่เหลือยึดชุดเดิมทั้งสิ้น

ซึ่งรูปการ์ณ์ก็ดูจะไม่ผิดจากที่คาด ประตู 1-0 ในนาทีที่ 8 เกิดจากลูกเตะมุมของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เปิดเข้าจุดนัดพบให้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ลอยมาโขกเต็มหน้าผากแบบตัวเปล่าเล่าเปลือยไร้กองหลังทีมเยือนเข้ามาก่อกวน ก่อนที่ โรเบิร์ตสัน คนเดิม จะวางบอลยาวให้ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน พักอกลงที่เสาสอง ก่อนยิงสวนตัว บิเซนเต กวยตา จมตาข่าย…

ณ นาทีนั้น ทุกอย่างมันดูง่ายดาย โอกาสที่ “ปราสาทเรือนแก้ว” จะพลิกสถานการณ์กลับมา เป็นภาษามวยบอกว่าต่อ 100-1 แลกเกาหลังทีเดียวยังไม่มีใครอยากรอง…

ทว่าสถานการณ์หลังจากนั้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลัง ปาทริค วิเอรา กุนซือเจ้าถิ่นกระตุ้นลูกทีมลงมาได้ดีเหลือเกิน นักเตะ พาเลซ ใช้การวางบอลยาวสลับการแทงทะลุช่องเล่นงานเกมรับ “หงส์แดง” ได้ผลชะงัดนัก พวกเขาเริ่มมีโอกาสส่องประตูแบบจะแจ้งมากขึ้น ทั้งโอกาสของ ไมเคิล โอลิเซ, ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตตา รวมถึง คอเนอร์ กัลลาเกอร์

หลังจากนั้น เจ้าถิ่นมาได้ประตูไล่มาเป็น 1-2 จากการสวนกลับซึ่ง เจฟฟรีย์ ชลุปป์ แทงให้ มาเตตา หลุดเดี่ยวแล้วปาดให้ ออสซอนเน เอดูอาร์ แปโล่ง ๆ ชนิดเหลือแต่เสากับตาข่าย ในนาทีที่ 55

ถึงตอนนั้น ความมั่นใจของเหล่า “เดอะ ค็อป” ตอนขึ้นนำ 2-0 แทบจะมลายหายวับไปกับตา…

แต่หากจะหาคำนิยามของเกมนี้สำหรับ “หงส์แดง” ในมุมของผม คำที่เหมาะที่สุดน่าจะเป็น “โชคเข้าข้าง” หรือไม่ก็ “วีเออาร์ที่รัก” เพราะจุดโทษในนาทีที่ 89 จากจังหวะที่ โชตา ปะทะกับ บิเซนเต กวยตา ในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ ฟาบินโญ จะสังหารเป็นประตูย้ำชัย 3-1 นั้น ดูแล้วมัน 50-50

ตอนแรกเควิน เฟรนด์ ผู้ตัดสินเกมนี้ ไม่ได้เป่าให้เป็นจุดโทษ แต่หลังจาก เคร็ก พอว์สัน ที่นั่งทำหน้าที่อยู่ในห้องวีเออาร์ทักมา เจ้าตัวจึงวิ่งไปดูมอนิเตอร์อยู่นาน ก่อนตัดสินใจให้จุดโทษ

ดูจากภาพช้า ถ้าว่ากันตามตรงแบบไม่เข้าข้าง กวยตา นั้นพุ่งออกมาหาบอล แต่ตัวของ โชตา เองก็เองเข้าไปหานายทวารเจ้าถิ่นนิด ๆ ด้วยเหมือนกัน แถมถ้าสังเกตุดี ๆ เหมือนดาวยิงทีมชาติโปรตุเกสมีเหล่มองตำแหน่งของ กวยตา นิด ๆ ก่อนปะทะกันด้วยซ้ำนะ

แต่ในเมื่อ โชตา แตะบอลหนีไปได้ก่อน และเกิดการปะทะกันจริง ๆ ซึ่งมันเข้ากฏการฟาวล์ ขณะที่ผู้ตัดสินตัดสินใจให้จุดโทษหลังมีเวลาในการพินิจพิเคราะห์อย่างชัดเจนแล้ว ก็ต้องว่าไปตามนั้น ถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลย อิอิอิ

ก็ต้องถือว่า วีเออาร์ เป็นใจให้ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ นี่ยังไม่รวมประตูที่ 2 ซึ่ง ฟีร์มิโน พยายามกระโดดขึ้นโหม่งลูกครอสของ โรเบิร์ตสัน แต่ไม่โดนก่อนที่ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน จะยิงเข้าไป ซึ่งหลังมีการเช็คแล้ว ผู้ตัดสินมองว่าดาวเตะบราซิเลียน ไม่มีส่วนกับการเล่น แม้ว่าจะพยายามกระโดดโหม่งก็ตาม ซึ่งจุดนี้ เจมี เรดแนปป์ อดีตกองกลาง “หงส์แดง” ยังบอกว่าควรจะล้ำหน้าเพราะ “บ็อบบี้” มีส่วนทำให้กองหลังของ พาเลซ เสียตำแหน่งการยืนแน่นอน

รวมถึงลูกจุดโทษ เรดแนปป์ ก็บอกว่าไม่ควรได้อีกต่างหาก ก็ว่ากันไปครับ…

แต่ที่แน่ ๆ 3 แต้มเป็นของ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ แม้จะเป็นเกมที่เจอปัญหาในเกมรับที่โดนเจ้าถิ่นเล่นงานเสียป่วน เสียขบวนไปหลายครั้ง เล่นเอา อลิสซอน เบคเกอร์ ต้องเซฟจนมือแทบหักจนได้รางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ หลังเกมจบ ซึ่งเป็นเรื่องหาดูไม่ง่ายที่ทีมชนะแต่นายทวารได้เป็นนักเตะยอดเยี่ยม

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายมันก็คือ 3 แต้มของ ลิเวอร์พูล และเป็น 3 แต้มที่ทำให้ทีมไล่ แมนเชสเตอร์ ซิตี ขึ้นมาเหลือตาม 9 แต้ม และเหลือเกมตกค้างในมืออีก 1 นัด ซึ่งถ้าเก็บชัยชนะได้จะเหลือตาม 6 แค้ม กับเกมที่ยังเหลืออีกราว ๆ 15-16 นัด

จากที่ก่อนหน้านี้ก้มหน้าก้มตาวิ่งไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้ เหใอนเริ่มมองเห็นหลังเสื้อสีฟ้า ๆ อยู่ไหว ๆ แล้วครับ…

เครดิตภาพ : REUTERS