ปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาทองคำทะยานสูงกว่าบาทละ 31,000 บาท ขึ้นไปแตะ 32,000 บาท ประชาชนจึงแห่ขนทองที่เก็บสะสมออกมาขายทำกำไร ชนิดที่ว่ายืนต่อคิวรอขายทองกันยาวเหยียดแน่นถนนเยาวราชกันเลยทีเดียว

ทีมข่าว “Special Report” มีโอกาสคุยกับ นายธนรัชต์ หรือ”ต่าย” พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฮั่วเซ่งเฮง ร้านค้าทองรายใหญ่ในเยาวราช เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปัจจุบัน และแนวโน้มความผันผวนของราคาทองคำจากปัจจัยต่างๆทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ

“สงคราม-เงินเฟ้อ” ส่งผลราคาทองพุ่ง!

นายธนรัชต์กล่าวว่าปัจจัยราคาทองคำพุ่งแรงรอบนี้มาจากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน และทุกครั้งที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่ทุกคนวิ่งเข้าหา แต่รอบนี้ตัวละครคือรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีการส่งออกไปยังยุโรปถึง 35% ของปริมาณน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ยุโรปใช้อยู่ ตามมาด้วยปัญหาเงินเฟ้อ

ก่อนจะมีสงครามดังกล่าว ปัญหาเงินเฟ้อค่อนข้างสูงพอสมควรอยู่แล้ว เมื่อมีสงครามเข้ามาอีกจึงทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงในเรื่องเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นมาด้วย

แต่หลังจากนี้จะเป็นเรื่องนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางต่างๆ เพราะก่อนหน้านั้นเรามีผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แล้วกำลังมีสัญญาณว่าเริ่มดีขึ้น แต่กลับมีภาวะสงครามตามมา ทำให้ระดับเงินเฟ้อยังสูงอยู่ ดังนั้นต้องรอดูว่าสงครามจะยืดเยื้อแค่ไหน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขนาดไหน รวมทั้งแนวโน้มการใช้กำลังทางทหาร ซึ่งอาจจะไม่รุนแรงมากไปกว่านี้ ขณะเดียวกันต้องมาดูเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย โดยเฉพาะกรณีประเทศต่างๆพากันปิดระบบสวิฟต์กับรัสเซีย และรัสเซียออกมาตรการตอบโต้ชาติต่างๆ ว่าจะส่งผลมากน้อยแค่ไหน

“ประเมินลำบากครับว่าสงครามจะยืดเยื้อแค่ไหน ตราบใดที่สองฝ่ายยังไม่บรรลุข้อตกลงอย่างเป็นที่น่าพอใจของแต่ละฝ่าย เนื่องจากมีข้ออ้างต่างกัน นอกจากนี้ในตลาดยังให้ความสนใจและจับตาดูเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างจีน-ไต้หวัน และกรณีเกาหลีใต้ที่เพิ่งได้ผู้นำคนใหม่ ซึ่งเป็นคนที่เคยต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ถ้าเกาหลีเหนือมีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ต้องดูว่าผู้นำเกาหลีใต้จะว่าอย่างไร ทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสนใจและจับตากันอยู่”

ราคาเริ่มนิ่ง-ไม่หวือหวาเหมือนสัปดาห์ก่อน

นายธนรัชต์กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันราคาทองคำเริ่มนิ่งๆ เคลื่อนไหวน้อย ไม่หวือหวาเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะการเคลื่อนไหวหรือความรุนแรงทางทหารในยูเครนไม่ได้มีมากขึ้น เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเจ็บตัวหรือพลาดพลั้งกันมากไปกว่านี้ ไม่อยากลากไปสู่สงครามใหญ่ ถ้าสงครามจบเมื่อไหร่ ราคาทองคำจะลดลงค่อนข้างรวดเร็ว

สำหรับราคาทองคำในบ้านเรารอบที่แล้วปรับตัวขึ้นไปบาทละกว่า 30,000 บาท แต่รอบนี้ขยับขึ้นไปสูงกว่า เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อน จากราคาที่ลงไปต่ำสุดในรอบที่แล้ว 27,000 บาทปลายๆ แต่ราคากลับทะลุ 31,000 บาท อย่างรวดเร็วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และสัปดาห์นี้ย่อตัวลง แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เกิดขึ้นจากภาวะสงคราม


อย่างไรก็ตามทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในทุกครั้งที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ยกตัวอย่างรัสเซียซึ่งค่าเงินถูกด้อยค่าพอสมควร ดังนั้นการซื้อทองของเขาจึงมีมากขึ้น ดูย้อนหลังไป 7-8 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางรัสเซียซื้อทองคำสะสมไว้ค่อนข้างมากเป็นอันดับ 5 ของโลก (อันดับ1อเมริกา) เพราะเขาเคยเจอภาวะกึ่งๆ ถูกคว่ำบาตรมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่มีตัวเลขแสดงชัดออกมาว่ารอบนี้รัสเซียระบายทองคำออกมาในตลาดบ้างหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆเขายังต้องเก็บทองคำเอาไว้เพื่อรักษาความสมดุลของค่าเงิน ไม่ให้อ่อนลงไป คิดว่ารัสเซียยังไม่ได้ขายทองคำออกมา นอกจากความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่าย นั่นอีกเรื่องหนึ่ง

จับตา“เฟด” ขึ้นดอกเบี้ย-ทองลง!

ถ้าสงครามคลี่คลายลงเมื่อไหร่ ราคาทองคำสามารถปรับตัวลงมาได้เร็ว ปัจจัยต่อมาที่ต้องติดตามคือเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินการคลังของแต่ละประเทศ รวมทั้งตัวเลขเงินเฟ้อ ถ้ามองในภาพรวมทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสะสมลงทุนในลักษณะการเก็งกำไรในมูลค่าที่ปรับขึ้นจากปัจจัยเงินเฟ้อปีนี้ แม้จะไม่หวือหวาเหมือนตลาดหุ้น แต่มีความแน่นอน โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะประชุนกันวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ มีแนวโน้มว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ราคาทองคำลดลงแน่นอน

ส่วนในประเทศไทยการใช้ทองคำยังเติบโตขึ้น แต่โตขึ้นในนัยยะของการลงทุน เพราะไทยเป็นตลาดที่สมบูรณ์ มีผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะในรูปแบบทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ และการลงทุนทางอิเลคทรอนิกส์ ผ่านโทรศัพท์มือถือ การชำระเงินทำได้อย่างรวดเร็ว มีการเชื่อมต่อกับธนาคารแบบเรียลไทม์ ทำให้การลงทุนในช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มีการเติบโตขึ้น ช่วยส่งเสริมการเก็งกำไรในระยะสั้นๆ ให้มีมากขึ้นด้วย

โดยเฉพาะตลาดทองรูปพรรณช่วงต้นปี 65 ถือว่ามีความเคลื่อนไหวซื้อๆ ขายๆมากขึ้น จากภาวะราคาที่ผันผวน ทำให้คนเห็นโอกาสในการทำกำไร จึงนำทองรูปพรรณออกมาขายค่อนข้างเยอะ ถามว่าสภาพแบบนี้บรรดาร้านทองมีเงินมากพอหรือเปล่า ตรงนี้ไม่มีปัญหาเลย เราแค่บริหารสภาพคล่องหน้าร้านเท่านั้นเอง มาเท่าไหร่รับซื้อหมด แล้วก็ขายออกไปในตลาดต่างประเทศ หมุนเวียนเอาเงินกลับเข้ามาใหม่ อาจมีปัญหาบ้างช่วงโควิด-19 ระบาดหนักๆ ที่โรงหลอมทองในต่างประเทศประสบปัญหา โรงงานต่างๆหยุดงาน สายการบินบินได้น้อยลง หรือต้องเปลี่ยนเส้นทางบินทำให้ล่าช้า เงินจึงกลับมาช้า แต่ปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับโควิดเบาบางลง ลูกค้านำทองมาขายมากแค่ไหนจึงรับซื้อหมด ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะราคาทองขึ้นๆ ลงๆ ถือเป็นเรื่องปกติ


คือร้านทองจะเจ็บตัวถ้าไม่มีภาวะซื้อๆ ขายๆ เนื่องจากมีต้นทุนตายตัวที่ต้องจ่ายค่าแรงพนักงาน แต่ถ้ามีการซื้อ-ขายยิ่งดี เราได้กำไร คือคนภายในอาจเข้าใจว่าการที่ลูกค้านำทองมาขายกันมากๆ ต้องควักเงินออกไปเยอะ แต่เราเอาไปขายต่อในราคาที่แพงกว่า มันมีกำไรในตัวอยู่แล้ว

ลงทุน “ทอง” กระจายความเสี่ยง!

สภาพตลาดทองในบ้านเรา มีทั้งการนำเข้าทองคำแท่งจากหลายๆแหล่งทั่วโลก สามารถซื้อ-ขายกันได้ทั่วโลก แต่คนส่วนใหญ่จะชินกับข้อมูลที่ว่าทองคำต้องมาจากสวิสฯ ทั้งที่โรงหลอมหรือโรงสกัดทองที่ได้มาตรฐานระดับโลกมีอยู่ทั่วไป เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น จีน และไม่ได้นำเข้าอย่างเดียว แต่มีส่งออกด้วย เพียงแต่ตัวเลขการนำเข้าทองมีมากกว่าส่งออก เพราะเรามีตลาดจิวเวอร์รี่ อัญมณีเพชรพลอย เครื่องประดับ และอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ที่ใช้ทองคำเป็นส่วนประกอบ

“สัปดาห์ก่อนต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์นี้ คนนำทองออกมาขายกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะค่าเงินอ่อน และราคาทองปรับตัวขึ้นมาสูง แต่ถ้าราคาย่อลงเมื่อไหร่คนจะกลับมาซื้อทองอีก เพราะปัญหาเงินเฟ้อยังมีอยู่ ถ้าเงินเฟ้อสูง สิ่งที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องทำคือขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ เมื่อดอกเบี้ยปรับขึ้น ราคาทองจะลดลง ถ้าลงมาเหลือบาทละ 30,000 บาทต้นๆ หรือที่ระดับ 1,920 เหรียญฯ คนจะกลับมาซื้อทองอีก และมีแนวต้านอยู่ที่ 2,000 เหรียญฯ โดยปกติราคาทองแต่ละปีจะปรับขึ้นประมาณ 5-6 % แต่ปีนี้ปรับขึ้นมา 9% กว่าๆ ถือว่าเยอะมาก ถ้าเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น การเล่นหุ้นจะหวือหวากว่า หุ้นบางตัวปรับขึ้นไปเกิน 10% ส่วนทองทำกำไรไม่หวือหวาขนาดนั้น แต่นักลงทุนต้องมีไว้กระจายความเสี่ยง เพื่อความปลอดภัยในภาวะที่ไม่มีความแน่นอน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฮั่วเซ่งเฮง กล่าว.