สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ว่าสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (ซิปรี) เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์บนโลก ว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วง 1 ทศวรรษข้างหน้า หลังลดลงตลอดช่วง 35 ปีที่ผ่านมา หรือนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น


สำหรับสถิติปัจจุบันเมื่อนับจนถึงต้นปีนี้ รัสเซีย สหรัฐ จีน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อินเดีย ปากีสถาน อิสราเอล และเกาหลีเหนือ มีหัวรบนิวเคลียร์รวมกัน 12,705 หัว ลดลง 375 หัว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของต้นปีที่แล้ว และลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับสถิติรวมกันซึ่งเคยสูงถึง 70,000 หัว เมื่อปี 2529 ซึ่งเป็นช่วงเวลาตึงเครียดของสงครามเย็น ที่สหรัฐกับรัสเซีย หรือสหภาพโซเวียตในเวลานั้น ขับเคี่ยวกันอย่างหนักในเรื่องการสะสมอาวุธ


ทั้งนี้ ซิปรีให้เหตุผลหลักเกี่ยวกับการที่จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ลดลง เป็นผลจากการที่รัสเซียและสหรัฐ ต่างทำลายหัวรบที่หมดอายุ ขณะที่จำนวนหัวรบเพื่อปฏิบัติการจริงภาคสนามยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และปัจจุบันทั้งสองประเทศยังคงครอบครองหัวรบนิวเคลียร์รวมกัน คิดเป็นสัดส่วน 90% ของที่มีอยู่ทั้งหมดบนโลก โดยรัสเซียมีมากที่สุด 5,977 หัว และสหรัฐมีหัวรบนิวเคลียร์ 5,427 หัว


ขณะที่นายสเตฟาน เลิฟเวียน อดีตนายกรัฐมนตรีสวีเดน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารของซิปรี ให้ความเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประเทศมหาอำนาจเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่องง ในวลาเดียวกับที่มนุษยชาติและโลกใบนี้ กำลังเผชิญความท้าทายมากมายร่วมกัน และการก้ามข้ามผ่านปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือในระดับประชาคมโลกเท่านั้น.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES