จากกรณี เพจเฟซบุ๊ก “นักเรียนเลว” โพสต์ภาพเด็กนักเรียนถูกตัดผม พร้อมข้อความ ครูฝ่ายปกครองของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้เรียกนักเรียนที่ไว้ผมยาวออกมากล้อนผมในระหว่างกำลังเข้าแถวหน้าเสาธง โดยใช้ปัตตะเลี่ยนไถเส้นผมบริเวณท้ายทอยถึงกลางศีรษะของนักเรียนจนแหว่งเป็นทางยาว ซึ่งมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ค. นายสมเพชร เสาร์คำ ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ประจำ จ.สงขลา จึงได้เดินทางไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อติดตามข่าวโดยขอทราบรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นจากผู้เกี่ยวข้อง เมื่อไปถึงได้ขี่รถ จยย. เข้าไปในโรงเรียน และได้แจ้งกับ รปภ. หน้าโรงเรียน ว่าเป็นผู้สื่อข่าวและขอพบผู้อำนวยการเพื่อสัมภาษณ์เรื่องเด็กถูกตัดผมหน้าเสาธง หลังจากนั้น รปภ. ก็ได้ติดต่อไปยังครูในโรงเรียน โดยให้นำรถ จยย. ออกจากโรงเรียนก่อน ผู้สื่อข่าวจึงได้นำรถ จยย. ไปจอดรอด้านนอกบริเวณหน้าประตูโรงเรียน หลังจากนั้น รปภ. คนดังกล่าว ก็ได้มาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ให้ขี่รถ จยย. กลับเข้าไปในโรงเรียนได้อีกครั้ง และให้ไปนั่งรอครูที่ม้าหินอ่อนหลังป้อม รปภ.

ต่อมามีครูผู้ชายรายหนึ่งเดินมาหา และได้เรียกคณะกรรมการโรงเรียน 5-6 คนมาพบ ก่อนจะถามหาบัตรผู้สื่อข่าว โดยผู้สื่อข่าวแจ้งไปว่าไม่ได้นำบัตรสื่อมวลชนติดตัวมาด้วย แต่มีบัตรที่ถ่ายไว้เป็นหลักฐานในโทรศัพท์มือถือ พร้อมทั้งเปิดโทรศัพท์ให้ตรวจสอบ แต่ครูกับคณะกรรมการโรงเรียนไม่ยอมดู พร้อมทั้งทำการยึดโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวไปทั้งสองเครื่อง และเข้าควบคุมตัวผู้สื่อข่าว เดินเข้าไปในโรงเรียนประมาณ 400 เมตร โดยมีคณะกรรมการโรงเรียนยืนล้อมกรอบไว้

ระหว่างทางผู้สื่อข่าวได้เจอกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งครูคนดังกล่าวก็ยังบอกกับเด็กนักเรียนว่า เป็นนักข่าวปลอมแอบอ้างมาทำข่าว และได้บังคับให้นั่ง โดยได้มีการพูดคุย ก่อนเอาชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบ ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่ยอมคืนโทรศัพท์ให้กับผู้สื่อข่าว อีกทั้งทางครูคนดังกล่าว ได้เรียกตำรวจมาที่โรงเรียน ให้ตำรวจควบคุมตัวผู้สื่อข่าวไปยัง สภ.ทุ่งลุง เพื่อแจ้งความว่าเป็นผู้สื่อข่าวปลอม แต่ปรากฏว่า จากการตรวจสอบของตำรวจ พบว่าเป็นผู้สื่อข่าวจริง จึงไม่รับดำเนินคดีและได้ทำความเข้าใจกับกลุ่มครู พร้อมทั้งขอโทรศัพท์คืนให้กับผู้สื่อข่าวไป

อย่างไรก็ตามหลังเกิดพฤติกรรมดังกล่าว นายสมเพชร มองว่าเป็นการทำกว่าเกินเหตุ ทั้งที่ตั้งใจมาสัมภาษณ์ขอชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น อีกทั้งเป็นการชิงทรัพย์ และประจานว่าเป็นผู้สื่อข่าวปลอม พร้อมกักขังหน่วงเหนี่ยวควบคุมตัวนำส่งตำรวจ ทั้งที่ไม่มีความผิด และการเข้าไปในโรงเรียน มีการขออนุญาตจาก รปภ.ถูกต้อง ไม่ได้มีการบุกรุกแต่อย่างใด จึงได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมด เข้าแจ้งความเอาผิดกับกลุ่มครูของโรงเรียนดังกล่าวแล้ว.