เมื่อวันที่ 24 ก.ค.  นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวและการเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายส่วนที่ 2 “แบริ่ง-สมุทรปราการ” และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตว่า บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) วิสาหกิจของ กทม.ได้ข้อสรุปเบื้องต้นระดับหนึ่งจากการหารือกับ BTSC แล้ว ในส่วนของ กทม.มี 2 เรื่อง คือ1 เรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง กทม.และเคที เป็นอย่างไร ที่สำคัญค่อเรื่องการจัดการเรื่องหนี้อย่างไร จะจ่ายได้แค่ไหน สภา กทม.จะมองอย่างไร เพราะสุดท้ายสภา กทม.จะเป็นผู้อนุมัติงบ แต่ตอนนี้สภายังติดพิจารณางบประมาณอยู่

ส่วนเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องการคิดราคาส่วนต่อขยาย ส่วนที่ 2 “แบริ่ง-สมุทรปราการ” และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ขณะนี้ สำนักจราจรและขนส่ง (สจส.) ได้ทำเรื่องเสนอไปยัง นายวิศณุ ทรัพย์สมผล รองผู้ว่าฯ กทม.แล้ว เหลือการคำนวณสูตรการคิดราคาและประกาศราคาค่าโยสาร แต่ต้องใช้เวลา เพราะเข้าใจว่า 1 เดือน ต้องเตรียมตัวในหลายๆอย่าง

ส่วนเรื่องระหว่าง เคที กับ เอกชน ต้องไปเจรจากัน ดังนั้น ต้องดูความสัมพันธ์ กทม.กับเคที มีความผูกพันธ์ ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญและละเอียดอ่อน เพราะถ้า กทม.จะเอาเงินไปจ่ายให้ เคที ก็ต้องมั่นใจว่ามีสัญญาถูกต้อง และได้รับการอนุมัติตามขั้นตอน

นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า ราคาในส่วนต่อขยายส่วนที่ 2 ซึ่งยังไม่มีการจัดเก็บค่าโดยสาร เราต้องรีบจัดเก็บ เพราะกทม.ต้องเสียค่าจ้างเดินรถส่วนนั้นปีละหลายพันล้าน ทำให้เกิดหนี้สะสมเพิ่มขึ้น จึงต้องหารายได้เข้ามา แต่ต้องคิดให้ละเอียด เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อพี่น้องประชาชนด้วย เช่น ที่สภาองค์กรผู้บริโภคเรียกร้องไม่อยากให้เก็บเพิ่ม อยากให้เก็บที่ราคาสูงสุด 44 บาท ซึ่งคิดแล้วจะกระทบต่อรายได้ของ กทม. ทำให้มีหนี้มากขึ้น ก็ต้องหากรอบที่ไม่เกินราคาเดิมที่เคยกำหนดไว้ที่ 59 บาท จะคิดอย่างไรมีสูตรให้อยู่ น่าจะประกาศได้ราคาได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในสิงหาคมนี้ 

ส่วนตัวไม่กังวลดราม่า ต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่าเราให้นั่งฟรี แต่ กทม.ต้องเสียค่าใช้จ่าย กลายเป็นว่าทุกคนในกรุงเทพฯ ต้องจ่ายค่าโดยสารในส่วนนี้อยู่ ในแง่หนึ่งไม่เป็นธรรมเท่าไร ต้องคุยกันด้วยเหตุผล คงจะไม่มีดราม่าเพราะเป็นข้อเท็จจริง และอีกอย่างคือมันมีผลกระทบกับรถสาธารณะด้านล่าง ถ้าข้างบนวิ่งฟรีข้างล่างก็ทำมาหากินลำบาก แต่ละปีเป็นหนี้ 4-5 พันล้านบาท ซึ่งค่อนข้างหนัก ถ้าไม่เก็บเลยจะเป็นหนี้ไปเรื่อยๆ และ กทม.จะไปดูรายได้จากโฆษณาด้วย จะเอามาจุนเจืออย่างไร แต่ทั้งหมดต้องเข้าสภา กทม.ก่อน เพราะส่วนต่างที่เหลือที่ กทม.ต้องจ่ายโดยงบประมาณ สภา กทม.ต้องรับรู้ ว่าเก็บราคาเท่านี้ แล้วจะมีส่วนต่างที่ กทม.ต้องจ่ายเท่าไร เพราะสภาต้องพิจารณางบประมาณไปจ่าย