จากกรณีคณะลูกศิษย์ของ “ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร” พระเกจิชื่อดังในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา และเป็นที่เคารพสักการะของชาวไทย เมียนมา ลาว ฯลฯ ได้นิมนต์ครูบาเดินทางออกจากวัดพระธาตุดอนเรือง เมืองพง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ตรงกันข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อเดินทางไปทำการรักษาอาการอาพาธหรือป่วย ในฝั่งประเทศไทย ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ส.ค. ทางแฟนเพจ “รักเชียงตุง” ได้ออกมาโพสต์คลิปของครูบาบุญชุ่ม พร้อมแจ้งข่าวล่าสุดระบุว่า “ครูบาบุญชุ่ม ท่านหายดีแล้ว และฝากถึงพี่น้องชาวไตว่าอีก 3 วัน 7 วัน ท่านจะกลับเมียนมา และไปโปรดแสดงธรรมให้ทุกคนฟัง และพร้อมให้พรกับทุกๆ คน”..

นอกจากนี้ มูลนิธิดอยเวียงแก้ว ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอครูบาบุญชุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ได้อยู่เตียงรักษาอีก โดยครูบาบุญชุ่มได้บอกว่าวันนี้นับเป็นวันดีที่ตนซึ่งเป็นภิกษุอรัญวาสีที่ได้ออกจากถ้ำหลังจากอยู่ในถ้ำนาน 3 ปี 3 เดือน 3 วัน จากนั้นได้มาอยู่ที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย เพื่อรักษาอาการอาพาธ

เมื่อได้ไปรักษาอาการอาพาธที่กรุงเทพฯ ก็ได้อยู่ในการดูแลขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นคนไข้ของพระองค์ท่านทำให้รู้สึกปลื้มปีติยินดีหาที่สุดมิได้ จึงขอน้อมจิตน้อมเกล้าถวายพระชัยมงคล ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงสุขเกษมสำราญ สุขสวัสดิ์สวัสดีทุกทุวาราตรี ขอให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรและเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยไปตลอดกาลนานเท่านาน รู้สึกซาบซึ้งถึงในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอันหาที่สุดมิได้ที่ได้ดูแลข้าพระพุทธเจ้าครูบาบุญชุ่ม ที่ได้ป่วยไข้ด้วยอาการเป็นหวัด ไม่ค่อยสบายและเหนื่อยมาหลายวัน จึงได้เดินทางมาจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย เข้าสู่ประเทศไทยเพื่อไปกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา บัดนี้ตนได้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี จิตใจก็สงบเย็นด้วยธรรมะเมตตาธรรม จึงขอน้อมจิตถวายแด่องค์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระชนมายุครบ 90 พรรษา ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทุกพระองค์ ทรงมีความสุขสวัสดี มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงทุกพระองค์ และขอให้ได้เป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไปตลอดกาลนานเท่านาน มีความประสงค์จำนงหมายสิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบธรรมทั้งทางโลกและทางธรรม ขอให้สำเร็จตามความมุ่งมาดปรารถนาฉับพลับด้วยเถิด

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @รักเชียงตุง และ มูลนิธิดอยเวียงแก้ว