เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 17 ส.ค. ที่ถนนข้าวสาร นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.น. พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.ชนะสงคราม นายวสันต์ บุญหมื่นไวย ผอ.เขตพระนคร ตัวแทนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพบปะพูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้า-สถานบริการ

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า วันนี้มาหารือกับผู้ประกอบการในถนนข้าวสารถึงความพร้อมกับการที่จะเปิดสถานบริการให้ได้ถึงตี 4 ซึ่งผู้ประกอบการในสถานที่นั้นจะต้องมีการหารือพูดคุยกับชาวบ้านในละแวก ซึ่งถ้าหากว่าชาวบ้านไม่เห็นด้วย ทางเราก็คงไม่อนุญาตให้มีการเปิด แต่หากชาวบ้านในพื้นที่เห็นด้วยก็จะเป็นโอกาสในการหารายได้เสริมโดยการค้าขาย ในช่วงเวลาที่ว่างจากงานประจำ โดยเฉพาะในช่วงคืนวันศุกร์ เสาร์ ที่นักท่องเที่ยวจะเยอะเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ทางนายกรัฐมนตรีพยายามทำให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชนต่างๆ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ ภายหลังจากเจอพิษของโรคระบาดโควิด-19 ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี

ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น ถนนข้าวสาร จะเป็นพื้นที่นำร่องของนโยบายดังกล่าว โดยจากการหารือกับปลัดกระทรวงการท่องเที่ยว ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แล้วต่างเห็นตรงกันว่า ความเหมาะสมของกรุงเทพมหานครน่าจะเป็น ถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าในถนนข้าวสารจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวมากกว่า 60-70 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเหตุผลที่เลือกถนนข้าวสารนั้น เพราะเราต้องการตอบสนองในการเดิน ในการกินอาหาร ในการท่องเที่ยวในยามค่ำคืนของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ในปัจจุบันนี้มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเดือนละประมาณ 1,000,000 กว่าคน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมความพร้อมในการที่จะรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามามากเป็นพิเศษในช่วงไฮซีซั่น โดยเฉพาะตั้งแต่หลังกลางเดือนตุลาคมเป็นต้นไปจนถึงเดือนมีนาคมในปีหน้า ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย และเป็นช่วงโลว์ซีชั่นของประเทศในเมืองหนาวในแถบยุโรป และญี่ปุ่น เกาหลี จีน ฉะนั้นเราจึงต้องมีการเตรียมความพร้อม ในวันนี้ตนจึงลงพื้นที่เพื่อสำรวจและเก็บข้อมูลว่าพวกเราจะทำยังไงให้ผู้ประกอบการได้ลืมตาอ้าปากได้ให้กลับไปสู่สภาพเดิมในอดีตให้เร็วที่สุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงประเด็นกรณีที่มีนักวิชาการ หมอออกมาให้ความเห็นว่า นโยบายดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมานั้น ส่วนตัวมองว่านักวิชาการก็มีหน้าที่ในการท้วงติง ส่วนหมอก็มีหน้าที่ในการดูแลและป้องกันโรคระบาด แต่อย่าลืมว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีหน้าที่ที่จะหาวิธีทำทุกอย่างที่จะนำเงินเข้าประเทศ เพราะฉะนั้นมิติของเรากับกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นมิติที่มองสวนทางกันตลอด ในฐานะที่ตนดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องมองในมิติของที่ทำยังไงก็ได้ให้เศรษฐกิจของผู้ประกอบการดีขึ้น ซึ่งแน่นอนสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ถูกใจหรืออาจไปกระทบกับคนอื่น ผมก็พร้อมที่จะไปอธิบายให้ฟังว่านี่คือความจำเป็น นี่คือเวลาที่เราจะต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจสถานบันเทิง ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับการปลดล็อกหลังสุด ซึ่งถ้าเรามัวแต่กลัวปัจจัยต่างๆ ผมคิดว่าเราจะเป็นประเทศที่ 11 ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ช้าที่สุดในกลุ่มอาเซียน ซึ่งสิ่งที่เป็นเป้าหมายของเราคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดีที่สุดในประเทศกลุ่มอาเซียนหลังโควิด

อย่างไรก็ตามพยายามผลักดันเรื่องดังกล่าวเข้าในที่ประชุม ศบค. ในเดือน ก.ย. แต่หากไม่ทันอย่างช้าที่สุดต้องภายในเดือน ต.ค. ต้องนำเข้าให้ได้ ซึ่งในระหว่างนี้ตนก็จะลงพื้นที่สำรวจและมอบหมายให้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยดูแลว่าในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย กระบี่ ว่าในพื้นที่ที่เรากำหนดไว้ว่ามีความพร้อมหรือไม่ ถ้าพร้อมเราก็จะนำเสนอ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ถือกฎหมาย ฉะนั้นเราจะต้องมีการหารือกับกระทรวงมหาดไทยอีกครั้ง.