ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค. 2565 เป็นต้นไป รัฐโอคลาโฮมาได้เตรียมพร้อมที่จะทำการประหารชีวิตนักโทษมากกว่า 20 คน ภายในเวลา 29 เดือนข้างหน้า เฉลี่ยแล้วจะมีการประหารชีวิตเดือนละ 1 ราย ติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี
ถ้าหากทำได้ครบถ้วนตามแผนที่วางไว้ จำนวนนักโทษที่จะโดนประหาร 25 ราย จะคิดเป็นสัดส่วน 58% ของนักโทษประหารทั้งหมดของรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้มีนักโทษที่มีปัญหาทางจิตและนักโทษที่ยืนกรานในความบริสุทธิ์ของตนหลายราย
แผนการนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย รวมถึงความกังวลและการตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงต้องประหารนักโทษเป็นจำนวนมากขนาดนั้นภายในระยะเวลาอันสั้น สืบเนื่องจากประวัติด้านการประหารชีวิตนักโทษของรัฐมีความซับซ้อน ตลอดจนเคยมีปัญหาด้านการดำเนินการและเคยมีกรณีที่นักโทษประหารได้รับการพิสูจน์ในภายหลังว่าไร้ความผิดเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหลังจากที่มีการใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์และเปรียบเทียบดีเอ็นเอในการพิสูจน์หลักฐาน
เจมส์ คอดดิงตัน คือนักโทษคนแรกที่โดนประหารและเสียชีวิตในตอนเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เขาโดนจำคุกตั้งแต่ปี 2540 ในข้อหาฆาตกรรมเพื่อนที่ไม่ยอมให้เขายืมเงินจำนวน 50 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,800 บาท) เพื่อไปซื้อโคเคน คำร้องขอผ่อนผันโทษของเขาได้รับการปฏิเสธโดยผู้ว่าการรัฐเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2565 ทั้งที่ทนายความของเขายืนยันว่า คอดดิงตัน มีพฤติกรรมกลับตัวกลับใจที่ชัดเจน
จากรายงานเมื่อปี 2562 โดยสำนักทะเบียนผู้ต้องหาที่ได้รับการอภัยโทษแห่งชาติสหรัฐ มีข้อมูลว่า จำนวน 2-10% ของนักโทษทั้งหมดที่โดนจำคุกอยู่ในเรือนจำของสหรัฐเป็นผู้บริสุทธิ์ นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกฉบับของสำนักทะเบียนฯ ในปี 2563 ซึ่งระบุว่า มีความผิดพลาดในการเอาผิดในคดีอาชญากรรมมากกว่าครึ่งหนึ่งของคดีทั้งหมด โดยเกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการของรัฐและแทบไม่มีการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการหรือเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายอื่น ๆ
ผลจากความผิดพลาดเหล่านี้ทำให้มีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากโดนลงโทษทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด และบางคนต้องสูญเสียชีวิต ขณะที่หลายคนต้องสูญเสียทรัพย์สิน
นอกจากนี้ การลงโทษประหารชีวิตยังมีปัญหาด้านค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการประหารแต่ละครั้งสูงกว่าการลงโทษแบบไม่มีการประหารถึง 3.2 เท่า ข้อมูลจากการวิเคราห์กรณีประหารชีวิตนักโทษ 15 ทั่วประเทศในปี 2560 ชี้ว่าต้องสิ้นเปลืองงบประมาณรัฐมากกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 25 ล้านบาท
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัญหาด้านทีมแพทย์ที่รับผิดชอบในการประหารเนื่องจากสมาคมแพทย์อเมริกันได้ประกาศไว้เมื่อปี 2549 ว่า แพทย์คนใดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการประหารชีวิตนักโทษ จะถือว่าได้ละเมิดคำปฏิญาณของวิชาชีพที่ว่าจะทำหน้าที่ปกป้องชีวิตมนุษย์ ซึ่งทำให้กระบวนการประหารยิ่งยุ่งยากมากขึ้น
อนึ่ง เพิ่งมีการเปิดเผยว่า ทางรัฐโอคลาโฮมาจ่ายเงินให้แพทย์ที่ทำหน้าที่ระหว่างการประหาร (ตรวจสอบสภาพการรับรู้ของนักโทษ ตรวจสอบความถูกต้องของยาพิษที่ใช้และยืนยันการเสียชีวิต) เป็นจำนวนเงินสูงถึง 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 540,600 บาท) ต่อครั้ง บวกกับค่าอบรมต่างหากอีก 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 36,040 บาท) ซึ่งเท่ากับเป็นภาระทางการเงินที่หนักมากสำหรับกระบวนการลงโทษประเภทนี้
ความกังวลอีกประการหนึ่งจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายก็คือความโปร่งใสในการดำเนินการ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผสมยาพิษที่จะใช้ในการประหารซึ่งทางทัณฑสถานของโอคลาโฮมาไม่เคยมีการเปิดเผยรายละเอียดของยาที่ใช้ ประสิทธิภาพของยา ผลกระทบต่อร่างกาย รวมถึงที่มาของยาเหล่านี้ต่อสาธารณชน
นักกฎหมายจำนวนมากพยายามขอให้มีการเพิกถอนโทษประหารในโอคลาโฮมา แต่รัฐที่คงความเชื่อแบบอนุรักษนิยมอย่างสูงแห่งนี้ก็มีการใช้โทษประหารมามากกว่า 2 ศตวรรษแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2347 ซึ่งกำหนดให้นักโทษที่เจตนาลงมือฆาตกรรมบุคคลอื่น ต้องรับโทษประหาร และต่อมาก็ขยายไปถึงความผิดข้อหาอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ ความผิดอาญาฐานเป็นกบฏ ข้อหาจารกรรมและข้อหาขืนใจบุคคลอื่น
นับตั้งแต่ปี 2458 จนถึงปี 2565 รัฐโอคลาโฮมาได้ประหารชีวิตนักโทษไปแล้วทั้งสิ้น 196 คน แต่เดิม โทษประหารของรัฐนี้เป็นใช้วิธีนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แต่โดนยกเลิกไปในปี 2515 ส่วนโทษประหารในปัจจุบันซึ่งใช้วิธีฉีดยาพิษนั้น เริ่มต้นในปี 2520 ซึ่งเคยมีประวัติว่านักโทษบางรายต้องทนทรมานจากฤทธิ์ยาก่อนที่จะเสียชีวิต อันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น รวมถึงมีกรณีฉีดยาผิดและทำให้นักโทษรอดชีวิตจากการประหาร
แหล่งข้อมูล : Yahoo!News
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES