สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ว่า เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์ฮาน อัล ซาอุด รมว.การต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย ทรงมีพระดำรัสเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง ว่า ยังคงอยู่ท่ามกลาง “บรรยากาศอันตราย” ทุกประเทศในภูมิภาคต่างยังคงแสวงหาหนทางส่งเสริมความแข็งแกร่งด้านความมั่นคงให้กับตัวเอง
ในกรณีของอิหร่าน เมื่อใดก็ตาม ที่รัฐบาลเตหะรานเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์เชิงปฏิบัติการของตัวเองจนประสบความสำเร็จ เมื่อนั้น “แนวโน้มของสถานการณ์โดยรวมนับจากนี้ จะไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางได้อีกต่อไป”
Saudi Arabia's foreign minister Prince Faisal bin Farhan Al Saud says ‘all bets off’ if Iran obtains nuclear weapons https://t.co/f40RoJANun pic.twitter.com/lIQACtt0My
— Al Jazeera English (@AJEnglish) December 11, 2022
เกี่ยวกับการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน เพื่อรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับปี 2558 ซึ่งรัฐบาลวอชิงตันถอนตัวเมื่อเดือน พ.ค. 2561 แล้วกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว แต่การพบหารือระหว่างทั้งสองประเทศชะงักไปตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา เจ้าชายไฟซาลทรงให้ความเห็น ว่า แม้รัฐบาลริยาดยังคง “มีความเคลือบแคลงสงสัย” เกี่ยวกับข้อตกลงฉบับนี้
อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียสนับสนุนความพยายามของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการปรับปรุงข้อตกลง “ภายใต้เงื่อนไข” ว่า “ต้องเป็นการเริ่มต้นใหม่”
Saudi Arabia's crown prince says his country will develop a nuclear bomb if Iran builds nuclear weapons. Mohammed Bin Salman made that startling statement during @NorahODonnell's recent visit to Saudi Arabia for this Sunday's @60Minutes https://t.co/iTga0YCnPm pic.twitter.com/iKRXt6pqYZ
— CBS News (@CBSNews) March 15, 2018
อนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งซาอุดีอาระเบีย ตรัสในรายการ “60 นาที” ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสของสหรัฐ ว่า ซาอุดีอาระเบียไม่ใช่ประเทศซึ่งต้องการมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่หากอิหร่านพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ได้ 1 ลูก ภายในเวลาอันรวดเร็วหลังจากนั้น ซาอุดีอาระเบียจะมีระเบิดแบบเดียวกันในจำนวนที่เท่ากัน.
เครดิตภาพ : REUTERS