สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ว่า นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า รัฐบาลปักกิ่งตรวจพบ “บอลลูนน่าสงสัย” ของสหรัฐ ลอยตัวอยู่ในเขตน่านฟ้าของจีน “อย่างน้อย 10 ครั้ง” นับตั้งแต่เดือน พ.ค. ปีที่แล้ว


ทั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สองต่อจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งนายหวังกล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลปักกิ่งตรวจจับ “บอลลูนสอดแนม” ของสหรัฐ ซึ่งรุกล้ำน่านฟ้าของจีน “ไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง” นับตั้งแต่เดือน ม.ค. ปีที่แล้ว โดยรัฐบาลปักกิ่งจัดการเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น “ด้วยความรับผิดชอบและเป็นมืออาชีพ” หากฝ่ายใดต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม “ขอให้ไปถามสหรัฐเอง”


ขณะที่ทำเนียบขาวและสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด อนึ่ง กระทรวงการคลังสหรัฐเพิ่มขึ้นบัญชีดำบริษัทของจีนอย่างน้อย 6 แห่ง ฐานมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนา “เรือเหาะและบอลลูน” ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ)


ด้านศูนย์บัญชาการภูมิภาคเหนือของกองทัพสหรัฐออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับความคืบหน้าของการเก็บกู้ชิ้นส่วน “วัตถุต้องสงสัย” เป็น “บอลลูนสอดแนมของจีน” ซึ่งเครื่องบินรบของสหรัฐยิงขีปนาวุธทำลาย ระหว่างที่วัตถุดังกล่าวลอยอยู่เหนือชายฝั่งรัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า เจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ “ชิ้นส่วนสำคัญ” ซึ่งรวมถึง ส่วนที่เรียกว่าเซ็นเซอร์ แผงวงจรไฟฟ้า และ “ชิ้นส่วนสำคัญขนาดใหญ่” แต่ชิ้นส่วนของ “วัตถุอีก 3 ชิ้น” ซึ่งมีการยิงตลอด 1 สัปดาห์หลังจากนั้น ยังไม่มีการเก็บกู้


ในอีกด้านหนึ่ง “เดอะ เปเปอร์” ซึ่งเป็นสื่อ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ของจีน รายงานโดยอ้างเป็นแถลงการณ์ของสำนักงานพัฒนาทางทะเลเมืองชิงเต่า ในมณฑลซานตง ทางตะวันออกของประเทศ ส่งข้อความถึงเรือประมงหลายลำในพื้นที่ “ให้เพิ่มความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง” เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีแผนยิงทำลาย “วัตถุปริศนา” ซึ่งมีการตรวจจับได้ เหนือเมืองรื่อจ้าว ใกล้กับทะเลปั๋วไห่ แต่ไม่มีการระบุชัดเจนว่า ตรวจพบวัตถุนั้นเมื่อไหร่ และการยิงทำลายจะเกิดขึ้นเมื่อใด


อย่างไรก็ตาม พีแอลเออยู่ระหว่างการซ้อมรบยาวนาน 1 สัปดาห์ ในเขตช่องแคบปั๋วไห่ ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างทะเลปั๋วไห่ กับพื้นที่ทางเหนือของทะเลเหลือง โดยการฝึกซ้อมเปิดฉาก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา.

เครดิตภาพ : REUTERS