สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ว่า ติ๊กต็อก ระบุในคำฟ้องว่า การแบนแพลตฟอร์มที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2567 ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และรัฐมอนแทนาออกกฎหมายโดยอิงจากการคาดการณ์ที่ไม่มีมูลความจริง
Montana Gov. Greg Gianforte signed a bill Wednesday banning TikTok in the state https://t.co/n22Hy2CWLK pic.twitter.com/r9q2ITe7kJ
— CNN (@CNN) May 18, 2023
นอกจากนี้ ติ๊กต็อกเรียกร้องให้ศาลรัฐบาลกลางประกาศว่า การแบนแอปพลิเคชันของรัฐมอนแทนานั้น “ขัดต่อรัฐธรรมนูญ” และขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว อีกทั้งยังมีผู้ใช้งานติ๊กต็อก 5 คน ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐบาลกลาง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อยกเลิกการแบนแพลตฟอร์มในรัฐมอนแทนา โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเช่นกัน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก นายเกร็ก เจียนฟอร์เต ผู้ว่าการรัฐมอนแทนา ลงนามในกฎหมายที่ห้ามการใช้งานติ๊กต็อก เมื่อวันที่ 17 พ.ค. โดยให้เหตุผลว่า เป็นการปกป้องข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลของชาวมอนแทนา จากพรรคคอมมิวนิสต์จีน
Montana TikTok users are speaking out after the governor became the first in the U.S. to sign a ban, set to take effect on January first, 2024 https://t.co/x530Zpe6dn pic.twitter.com/mrpaud5QzJ
— CNN (@CNN) May 19, 2023
กฎหมายใหม่ระบุถึงการห้ามไม่ให้บริษัทต่างๆ มอบสิทธิการเข้าถึงติ๊กต็อก หรือดาวน์โหลดติ๊กต็อก ซึ่งการละเมิดแต่ละครั้ง จะมีโทษปรับสูงถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 342,600 บาท) อีกทั้งภายใต้กฎหมายใหม่ บริษัท แอปเปิล และบริษัท กูเกิล จะต้องลบติ๊กต็อก ออกจากแอปพลิเคชันสโตร์ ส่วนบริษัทที่ยังคงให้บริการ อาจต้องเสียค่าปรับรายวันด้วย
ทั้งนี้ รัฐมอนแทนาเป็นรัฐแรกของสหรัฐ ที่กำหนดกฎหมายห้ามใช้ติ๊กต็อก และกฎหมายข้างต้นเป็นการต่อสู้ครั้งล่าสุด ระหว่างติ๊กต็อกกับรัฐบาลของชาติตะวันตก ซึ่งบริษัท ไบต์แดนซ์ เจ้าของติ๊กต็อก ยังคงยืนกรานว่า ติ๊กต็อกไม่ได้เป็นเครื่องมือสำหรับการจารกรรมของรัฐบาลปักกิ่ง ตามที่นักการเมืองหลายคนของสหรัฐกล่าวหา.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES