เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดเผยผลการหารือร่วมกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า ได้หารือเรื่องค่าจ้างการติดตั้งงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท ที่ครบกำหนดการชำระเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ว่าฯ กทม. แจ้งว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมสภา กทม. ต้นเดือน ก.ค.นี้ โดยเรื่องนี้คณะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ประชุมมา 5-6 ครั้ง เข้าใจเรื่องนี้พอสมควรแล้ว คงใช้เวลาในการพิจารณาไม่นาน

“ผมต้องขอขอบคุณผู้ว่าฯ กทม. ที่เปิดโอกาสให้เราได้เข้ามาหารือร่วมกัน และเข้าใจในบริบทของบริษัทเอกชน ที่ต้องแบกรับภาระหนี้มาถึง 4 ปี กับก้อนหนี้กว่า 50,000 ล้านบาท เพราะหากเป็นเอกชนรายอื่นคงหยุดเดินรถไฟฟ้าไปแล้ว แต่ผมและบีทีเอส เข้าใจผู้โดยสารที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงบริหารโครงการอย่างเต็มความสามารถ และต้องหาเงินทุนจำนวนมากมาบริหาร เพื่อไม่ให้กระทบกับการดำเนินชีวิตของผู้โดยสาร แต่หากวันหนึ่งเราไม่สามารถเดินรถได้ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็คงเป็นไปตามเหตุ และผลที่เกิดขึ้นจริง ส่วนกระบวนการชำระหนี้ คงต้องดำเนินการตามข้อกฎหมาย และกระบวนภายในของ กทม. แต่จะจ่ายในรูปแบบไหน หรือจ่ายยังไง ยังไม่ได้พิจารณา” นายคีรี กล่าว

นายคีรี กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว วงเงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาทนั้น หนี้ก้อนแรกวงเงิน 11,755.06 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในกระบวนการอุทธรณ์ที่ กทม.ได้ยื่นต่อศาลปกครอง หลังจากก่อนหน้านี้ศาลปกครองพิพากษาให้ กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม จํากัด (เคที) ร่วมกันจ่ายหนี้ให้บีทีเอส เชื่อว่าอีกไม่นานคงมีความชัดเจน ส่วนหนี้ก้อนที่สองวงเงิน 11,068.50 ล้านบาท บีทีเอสได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้จ่ายหนี้ไปเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 65 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ ส่วนหนี้ที่เหลือ และหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการเดินรถ จะมีการดำเนินการตามขบวนการต่อไป

“เรื่อง O&M ผมไม่ทราบว่า รัฐบาลรักษาการจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง เพราะช่วงเป็นรัฐบาลในชุดที่ผ่านมา ได้บรรจุวาระเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) 3-4 ครั้ง แต่ก็ถูกนำออก เนื่องจากมีความเห็นไม่ตรงกัน ดังนั้นหากรัฐบาลรักษาการดำเนินการแก้ไขปัญหาไม่ทัน ก็หวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเข้ามาดำเนินการได้ เพราะน่าจะเข้าใจปัญหามากขึ้นแล้ว ส่วนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหาอดีตผู้ว่าฯ กทม. พร้อมกับพวก 13 คน ซึ่งปรากฏชื่อของตนเอง และบริษัทฯ ในความผิดสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และความผิดฮั้วประมูลนั้น ขอยืนยันอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า ไม่เคยฮั้วประมูล และสัญญาทุกอย่างมีที่มาที่ไป” นายคีรี กล่าว

นายคีรี กล่าวต่อว่า วันนี้ไม่ติดใจประเด็นเรื่องใดแล้ว และการเดินทางมาหาผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ เพราะอยากให้เห็นใจภาคเอกชน ที่มีหนี้สะสมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวถึงประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งช่วงก่อนหน้านี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็เสนอแนวทางการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับบีทีเอส เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้ที่เกิดขึ้น แต่ด้วยสังคมอาจไม่เข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงทำให้เรื่องดังกล่าวหยุดนิ่งในขั้นตอนการพิจารณาของ ครม.

ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ กล่าวว่า เรื่องข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ทางบีทีเอสเคยชี้แจงไปแล้วอย่างชัดเจน และได้ยื่นหนังสือไปยัง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการ และนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการหาตัวผู้กระทำผิดที่ปล่อยให้มีเอกสารภายในหลุดออกมา และส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ และราคาหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งขณะนี้ผ่านมา 3 เดือนแล้ว ยังไม่มีการชี้แจงจาก ป.ป.ช. เพราะก่อนหน้านี้ทาง ป.ป.ช.ได้ออกมายอมรับว่าเป็นเอกสารลับทางราชการ และได้มีการสอบถามเพิ่มเติมว่า ข้อกล่าวหาที่ระบุมานั้น ผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์กระทำผิดอย่างไร ได้ร่วมกระทำผิดและสนับสนุนการกระทำผิดอย่างไร และเวลาใด

“ป.ป.ช.กลับทำหนังสือแจ้งมาเพียงระบุว่า ข้อกล่าวหาที่ได้แจ้งมานั้นครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งบริษัทขอยืนยันว่าเอกสารการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ส่งมานั้น ยังไม่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย เราเพียงอยากขอความชัดเจนว่า ที่แจ้งข้อกล่าวหา ทั้งในฐานะนิติบุคคล และในฐานะส่วนตัวนั้น เราได้ไปกระทำความผิดอย่างไร ร่วมกับใคร ซึ่งหมายถึงผู้กล่าวหาคนใด กระทำผิดกันที่ไหน กระทำความผิดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามพื้นพื้นง่ายง่าย แต่ที่ผ่านมาเรายังไม่ได้รับข้อมูลในส่วนนี้เลย และที่สำคัญการสรุปพฤติการณ์การกระทำความผิดของ ป.ป.ช. ต้องระบุพยานหลักฐานที่ใช้ยืนยันการกระทำความผิด” พ.ต.อ.สุชาติ กล่าว

พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวต่อว่า ในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาก็ไม่มีระบุในเรื่องพยานหลักฐานนี้ ที่ต้องมาเน้นย้ำในเรื่องนี้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ และมีความสำคัญมาก การให้การของผู้ถูกกล่าวหาต้องไม่หลงประเด็น ในขณะนี้ได้ทำหนังสือไปถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. อีกครั้งหนึ่งแล้ว หวังว่าจะให้ความกรุณาดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เพื่อจะได้ชี้แจงข้อกล่าวหา และข้อเท็จจริงต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของข้อเท็จจริงบางประการที่แจ้งมา และสามารถอธิบายได้ ทางบริษัทก็ได้ดำเนินการชี้แจงไปแล้ว.