เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2566 แครี สแตกเคิลเบค นักโบราณดคีประจำรัฐโอคลาโฮมา แถลงข่าวว่าทีมนักโบราณคดีได้ขุดพบซากศพของมนุษย์ในวัยผู้ใหญ่ 2 ศพ คาดว่าเป็นเหยื่อในการสังหารหมู่คนผิวดำแห่งทัลซาโดยฝีมือของม็อบคนผิวขาวเมื่อ 102 ปีก่อน

ซากร่างทั้งสองถูกพบระหว่างการขุดค้นเชิงโบราณคดีในสุสานโอคลอว์น รัฐโอคลาโฮมา โดยเป็นการขุดค้นรอบที่ 3 ของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา

ซากร่างของศพทั้งสองอยู่ในโลงไม้ที่เรียบง่าย ซึ่งตรงกับข้อมูลที่มีอยู่ของกลุ่มคนที่คาดว่าตกเป็นเหยื่อจากการสังหารโหดของคนผิวขาวในยุคนั้น ซึ่งรวบรวมจากใบมรณบัตร รายงานข่าวในท้องถิ่นและบันทึกจากฌาปนกิจสถาน

สแตกเคิลเบค กล่าวว่า ทีมโบราณคดีเคยพบโลงศพที่ดูดีหรือหรูหรากว่านี้ในสถานที่ฝังศพจุดอื่น ๆ แต่พวกเขาคิดว่าไม่น่าจะใช่ที่ฝังศพของเหยื่อจากการสังหารหมู่แห่งทัลซา เธอยังกล่าวว่า ทีมงานจะเดินหน้าขุดค้นต่อไปและขยายพื้นที่การขุดออกไปด้วย 

ทีมงานโบราณคดีระหว่างขุดค้นในพื้นที่ของสุสานโอคลอว์น

สำหรับซากร่างที่ค้นพบในครั้งนี้ ได้มีการนำชิ้นส่วนไปตรวจสอบในห้องแล็บซึ่งสรุปผลได้ว่าเป็นศพของผู้ใหญ่ 2 คน

การสังหารหมู่คนผิวดำที่ทัลซา รัฐโอคลาโฮมา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2464 ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงและความโหดเหี้ยมอย่างที่สุดอันเนื่องมาจากแนวคิดเหยียดผิวในหน้าประวัติศาสตร์ของคนอเมริกัน

ภาพของอาคารบ้านเรือนในเขตกรีนวูดที่โดนเผาทำลายระหว่างเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ทัลซา เมื่อเดือนม.ย. 2564

ในเหตุการณ์ครั้งนั้น กลุ่มม็อบคนผิวขาวใช้เวลายาวนานถึง 18 ชม. เข้าไปในเขตพักอาศัยของคนผิวดำที่มีฐานะดีในย่านกรีนวูด เมืองทัลซา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของ “แบล็ค วอลล์ สตรีท” และลงมือทำร้ายร่างกายคนในชุมชนที่พักอยู่ในบ้านของตัวเอง นอกจากนี้ยังเผาบ้านเรือนและทำลายร้านค้าในย่านนั้น ทำให้มีคนผิวดำเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ถึง 300 คน

ที่มา : businessinsider.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, Facebook/1921Graves