เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 พ.ย. ที่ สน.พระโขนง พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รรท.รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ รรท.รอง ผบก.น.5 ประชุมร่วมกับ พ.ต.อ.โอภาส หาญณรงค์ ผกก.สน.พระโขนง และคณะทำงาน ติดตามความคืบหน้าทางคดี รถบรรทุกตกบ่อร้อยสายไฟ บริเวณปากซอย สุขุมวิท 64/1

ชั่งน้ำหนัก ‘สิบล้อ’ ตกบ่อถนนทรุด พบเกิน 12 ตันจ่อแจ้งข้อหาเพิ่ม

พล.ต.ต.พัลลภ กล่าวว่า หลังชั่งน้ำหนักรถพบว่าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ได้แจ้งข้อหากับคนขับรถ 2 ข้อหา คือขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหาย และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สำหรับเจ้าของรถ ตำรวจติดต่อมาสอบปากคำในวันนี้ ส่วนสาเหตุที่เชิญมาล่าช้า เนื่องจากเจ้าของรถอ้างว่าตกใจ และยังไม่พร้อมให้ข้อมูล

ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยภาพคลิปวิดีโอว่า ในช่วงกลางดึกของคืนวันเกิดเหตุ มีคนงานนำถังแกลลอนมาถ่ายน้ำมันออกจากรถบรรทุกคันเกิดเหตุที่จอดไว้ตรงข้าม สน.พระโขนง นั้น ฝ่ายสืบสวนได้ติดตามตัวบุคคลในคลิปมาสอบปากคำแล้ว ได้ให้การว่า ได้รับคำสั่งมาให้ถ่ายน้ำมันออกจากถัง เนื่องจากตัวถังได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ จึงเกรงว่าน้ำมันอาจรั่วจนเกิดอันตราย และได้นำน้ำมันของกลางมาส่งคืนให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาจะอำพรางทำให้น้ำหนักรถลดลง แต่ก็ยังต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากพบว่าพยายามถ่ายน้ำหนักรถเพื่อเลี่ยงการถูกตรวจสอบก็จะดำเนินคดี

หลังจากนี้จะตรวจสอบประเด็นความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ทั้งเรื่อง การดัดแปลงต่อเติมอุปกรณ์เสริมพ่วงส่วนอื่น ๆ ที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ และในส่วนของบ่อพัก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวง การก่อสร้างมีความถูกต้องตามหลักวิศวกรรมหรือไม่ โดยหลังจากนี้จะต้องให้ทางสภาวิศวกรรมเข้ามาตรวจสอบ

ส่วนเรื่องส่วยสติกเกอร์ ทาง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบก.น. ได้กำชับ และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบในเรื่องนี้แล้ว รวมถึง ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบเรื่องนี้ ควบคู่กันไปด้วย แต่การสอบสวนเบื้องต้นทางคนขับรถให้การว่า ทางผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกได้ติดสติกเกอร์ทำสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นรถของตัวเอง ที่จะเข้ามาตักดินภายในไซต์งาน เนื่องจากมีรถจำนวนหลายคัน หากพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตรับผลประโยชน์ (ส่วยสติกเกอร์) จะดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยไม่ละเว้น แต่ต้องใช้เวลาในการทำงาน

ขณะที่รถคันอื่นๆ ของผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกที่มีรายงานข่าวว่า มีจำนวนอยู่ประมาณ 6 ถึง 7 คัน หากไม่ได้บรรทุกน้ำหนักเกินที่กฎหมายกำหนด หรือไม่มีสิ่งใดผิดกฎหมาย ก็สามารถดำเนินประกอบการได้ตามปกติ แต่เจ้าหน้าที่อาจจะต้องเข้มงวดตรวจตราตามเส้นทางเพิ่มมากขึ้น ส่วนเส้นทางที่รถบรรทุกคันดังกล่าว จะนำดินไปไว้พื้นที่ไหนนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนเพื่อความชัดเจน

ขณะที่กรณีการสอบปากคำคนขับรถบรรทุก หากให้การไปถึงเจ้าของรถว่า บังคับให้ขนส่งน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด ก็ต้องดำเนินคดี ในส่วนนี้กับเจ้าของรถบรรทุกด้วย แต่การสอบปากคำในเบื้องต้น ยังไม่มีการซัดทอดถึงเจ้าของรถบรรทุก