นายญนน์ โภคทรัพย์ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย  และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ซีอาร์ซี เปิดเผยว่า สมาคมฯ อยากเสนอให้รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมสินค้าจีนที่ขณะนี้ส่งออกสินค้าต่างๆ ในราคาถูกมากมายังไทย ทำให้ค้าปลีก ค้าส่ง และเอสเอ็มอีไทยแข่งขันด้านต้นทุนได้ยากขึ้น เพราะสินค้าจีนได้เปรียบด้านภาษีซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่เติบโต ฉะนั้นกฎหมายของไทยควรปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ไม่สร้างความเหลื่อมล้ำด้านภาษี รวมถึงภาครัฐต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้แบรนด์ของคนไทยมีความสามารถแข่งขันได้

ขณะเดียวกัน หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ปัญหาดังกล่าว หรือมีลูกเล่นใหม่ๆ มาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ก็มีโอกาสทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยปีนี้เติบโตต่ำกว่าคาดการณ์จีดีพีของประเทศเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนที่เติบโต 2-3 เท่าตัว แม้ปัจจุบันรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบแต่ไม่มีกำลังซื้อ และมีมาตรการอีซี่ อี-รีซีท ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายกลุ่มมีกำลังซื้อได้ แต่มองว่าควรกระตุ้นคนมีเงินให้ใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องอีก

ส่วนแผนงานของซีอาร์ซีปีนี้จะใช้เงินลงทุน 22,000-24,000 ล้านบาท ลงทุนทั้งในไทยและเวียดนาม สำหรับขยายการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งอาหาร แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ และอสังหาริมทรัพย์

ตั้งเป้าหมายมีรายได้เติบโต 9-11% กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเติบโต 15-17% 

ทั้งนี้ กลุ่มแฟชั่นจะพัฒนาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แฟล็กชิปสโตร์ สาขาชิดลม สู่การเป็นลักชัวรี่ระดับโลกรวมถึงการขยายสาขาเพิ่ม 2 แห่ง พร้อมปรับปรุงและอัพเกรดห้างอีก 4 แห่ง เพิ่มแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และนำแบรนด์ในไทยขยายไปยังเวียดนาม ด้านกลุ่มอาหาร จะขยายโก โฮลเซลล์อีก 7 สาขา ตั้งเป้าขยายรวม 40 สาขา ภายใน 5 ปี และขยายสาขาท็อปส์ 10 สาขาในไทย สำหรับประเทศเวียดนาม มีแผนเปิด ไฮเปอร์มาร์เก็ตโก! 3 สาขา และมินิ โก! อีก 9 สาขา 

ส่วนกลุ่มฮาร์ดไลน์จะขยายสาขาไทวัสดุ 9 สาขา พร้อมปรับปรุงอีก 4 สาขา และปรับปรุงเหงียนคิมในเวียดนามให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และกลุ่มอสังหาฯปรับศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง ส่วนศูนย์การค้าโก! ในเวียดนาม มีแผนขยายอีก 3 สาขา ทำให้สิ้นปี 67 มีจำนวน 42 สาขา ครอบคลุม 42 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ และจะนำระบบเอไอมาใช้ในทุกกระบวนการของการทำธุรกิจ