นายทาคาชิ โอไดระ กรรมการผู้จัดการ และรองประธานบริหารรับผิดชอบด้านวิศวกรรม และกลยุทธ์ความเป็นกลางทางคาร์บอน บริษัท อีซูซุมอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า อีซูซุได้ประกาศเป้าหมายว่าจะ “สร้างเสริมการขับเคลื่อนอย่างสร้างสรรค์ของโลก” เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยตระหนักว่าอุตสาหกรรมยานยนต์โลกอยู่ในยุคการเปลี่ยนผ่านในรอบศตวรรษ รถเพื่อการพาณิชย์ก็ต้องเร่งพัฒนาด้วยเช่นกัน เรากำลังเผชิญกับความท้าทายทางสังคมที่ต้องเอาชนะ และเพิ่มการขับเคลื่อนอย่างสร้างสรรค์ สำหรับผู้คนและสินค้าทั้งหมดในโลก อาทิ ความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องบรรลุเป้าหมายสังคมความเป็นกลางทางคาร์บอน ความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรเป็นศูนย์ การจัดการปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต

อีซูซุมุ่งมั่นที่จะส่งมอบความมั่นใจและความอุ่นใจให้กับลูกค้าของเรามาโดยตลอด ด้วยการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ และรถเครื่องยนต์ดีเซลหลากชนิด ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง การให้บริการการบริหารจัดการระบบปฏิบัติการ และบริการหลังการขายต่างๆ ที่ถือเป็นคุณค่าผลิตภัณฑ์ ซึ่งเราได้นิยาม “คุณค่าผลิตภัณฑ์” ไว้ 3 ประการดังนี้ ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมผลิตภัณฑ์อีซูซุต้องสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีประสิทธิภาพสูงให้แก่ลูกค้าทั่วโลกของเราเสมอมา ต่อจากนี้ไปเราจะต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ่านการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมด้านพลังงานไฟฟ้าเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ความเป็นมิตรกับผู้ใช้รถคุณค่าของ “การตระหนักถึงสังคมที่สามารถขนส่งผู้คนและสินค้าได้อย่างปลอดภัย มั่นคง และมีประสิทธิภาพ” เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับรถเพื่อการพาณิชย์ เราได้นำเสนอบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย มั่นคง และคุ้มค่าสมเหตุสมผลให้กับลูกค้ามาโดยตลอด และเราจะยังคงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้รถยิ่งขึ้นต่อไป ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ และกิจกรรมที่สร้างสรรค์ร่วมกับลูกค้า

ความน่าเชื่อถือและความต่อเนื่องในการดำเนินงาน เราได้นำเสนอรถเพื่อการพาณิชย์ที่แข็งแกร่งทนทานและเชื่อถือได้ รวมทั้งเครือข่ายบริการหลังการขายเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของลูกค้าตลอดมา ต่อจากนี้ไปเราจะยังสนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงทางเศรษฐกิจของทุกภาคส่วน ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถจะทำให้การดำเนินงานของลูกค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อสังคมโดยรวม

นอกจากนี้อีซูซุกำลังเดินหน้าด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นส์แบบครบวงจร เพื่อนำเสนอ “โซลูชั่นส์อันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” เพื่อให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะด้านที่แตกต่างกันของลูกค้าทั่วโลก ขณะนี้ “แผนงานด้านสิ่งแวดล้อมปี 2573” ของเราซึ่งมีเป้าหมายที่จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ทั้งรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ รถปิกอัพ และรถบัสโดยสาร ภายในปี 2573 กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น

สำหรับประเทศไทย เราวางแผนที่จะผลิตรถปิกอัพไฟฟ้าเพื่อส่งออกซึ่งจะเริ่มจากประเทศในโซนยุโรปในปี 2568 และจะทยอยเปิดตัวในประเทศอื่นๆ ตามกฎระเบียบและความคืบหน้าด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนของแต่ละประเทศ  

อีซูซุจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 1 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 240,000 ล้านบาท ในด้านการวิจัยและพัฒนาภายในปีงบประมาณ 2573 เพื่อดำเนินการเรื่องการปฏิรูปทางดิจิทัลเกี่ยวกับความเป็นการทางคาร์บอนและโลจิสติกส์  อีกทั้งการสร้างศูนย์พัฒนาและทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้ชื่อ “The EARTH Lab” ภายในปี 69 มั่นใจว่าการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจปัจจุบัน และการลงทุนเชิงรุกในครั้งนี้จะรักษาความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้อย่างมั่นคงในระยะสั้นถึงระยะกลาง และจะเป็นการเสริมสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของเรา อีซูซุจะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของโลกโดย “สร้างเสริมการขับเคลื่อนอย่างสร้างสรรค์ของโลก” ด้วยจุดแข็งของเราและก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน 

สำหรับนโยบายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของอีซูซุในประเทศไทย นายทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก มีการผลิตรถยนต์ต่อปีมากถึง 1.8-1.9 ล้านคัน สูงที่สุดในอาเซียน และเป็นอันดับ 10 ของโลก  ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ และการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน เกือบทั้งหมด ในปี 2566 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 9.73 แสนล้านบาท ซึ่งรถปิกอัพและอนุพันธ์ในฐานะ โปรดักส์แชมเปี้ยน เป็นรถที่ส่งออกมากที่สุดถึง 786,383 คัน คิดเป็น 70% จากรถทุกประเภท

นับจากนี้ไป อีซูซุในฐานะผู้นำรถเพื่อการพาณิชย์ของประเทศไทยพร้อมเดินหน้าสนับสนุนนโยบายรัฐบาลไทยในการมุ่งสู่สังคมที่เป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608 ตลอดจนสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียน ด้วยแนวคิด “โซลูชั่นส์อันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน”

การนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อน และแตกต่างจากรถยนต์นั่ง ซึ่งเราต้องพิจารณาถึงการใช้งานเชิงพาณิชย์และส่วนตัว เราจึงพัฒนารถที่มี “โซลูชั่นส์อันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Multi-pathways to Carbon Neutrality) ไม่ใช่เพียงแต่รถไฟฟ้าแบตเตอรี่ (บีอีวี) หรือรถไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (FCEV) เท่านั้น แต่หมายรวมถึงพลังงานอื่นๆ เช่น การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Fuel) กับเครื่องยนต์สันดาปภายใน อาทิ น้ำมันไบโอดีเซลเจนเนอเรชั่นใหม่จากพืชใช้แล้ว และ น้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้รถอีซูซุด้วย  

ได้นำรถมาจัดแสดงถึง 4 รุ่น คือ รถปิกอัพไฟฟ้าต้นแบบ “อีซูซุ ดีแมคซ์” อีวี คอนเซปต์มีแผนจะเริ่มผลิตเพื่อส่งออกอย่างเป็นทางการจากฐานการผลิตประเทศไทยในปี 2568 เนื่องจากวิธีการใช้งานของลูกค้าแตกต่างกัน รถปิกอัพไฟฟ้าต้นแบบ “อีซูซุ ดีแมคซ์” จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าผู้ใช้รถ จะเปิดตัวในประเทศภาคพื้นทวีปยุโรปบางประเทศ เช่น นอร์เวย์ ในปี 2568 จากนั้นมีกำหนดการจะเปิดตัวในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ไทย ตลอดจนประเทศหรือภูมิภาคอื่นๆ เป็นลำดับถัดไป ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและความพร้อมของสาธารณูปโภคด้านสถานีชาร์จรถไฟฟ้า

รถปิกอัพ “อีซูซุ ดีแมคซ์ ไฮ-แลนเดอร์ MHEV” 4 ประตูซึ่งเป็นระบบการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยการติดตั้งแบตเตอรี่ 48 โวลต์ ทำหน้าที่เสริมกำลังขับเคลื่อนให้กับเครื่องยนต์ 1.9 Ddi Blue Power เพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ในช่วงออกตัว รวมถึงช่วยลดการสั่นสะเทือนในจังหวะสตาร์ทเครื่องยนต์และช่วยลด CO2  ซึ่งรถคันนี้เป็นรถทดลองประกอบเพื่อเป็นหนึ่งในทางเลือกให้กับลูกค้าในการลด CO2  โดยรถประเภทนี้อาจจะเหมาะกับความต้องการของลูกค้าบางกลุ่ม ซึ่งเราอยู่ในระหว่างการสำรวจตลาดก่อนกำหนดแผนการจำหน่ายต่อไป

รถบรรทุกไฟฟ้า “อีซูซุ เอลฟ์ อีวี” พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด Isuzu Modular Architecture and Component Standard : I-MACS” สำหรับรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมการออกแบบ เซ็นเตอร์ ไดร์ฟ ซิลเต็ม อีวี ซึ่งเป็นการออกแบบรถบรรทุกไฟฟ้าโดยเฉพาะ เนื่องจากต้องคำนึงถึงความสมดุลของการกระจายน้ำหนักรถ ระยะช่วงล้อหลัง และรัศมีวงเลี้ยวที่เหมาะสม เหมาะกับการใช้งานบรรทุกเบา วิ่งระยะสั้น อาศัยความคล่องตัว โดยใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งได้เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อมี.ค. 66 ในขณะเดียวกันเรากำลังพัฒนาเทคโนโลยีการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ ในระยะเวลาอันสั้นเพื่อลดระยะเวลาในการจอดเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ อีกทั้งยังสามารถเลือกแบตเตอรี่ได้ตั้งแต่จำนวน 2-5 ก้อน เพื่อให้เหมาะกับระยะทางการขนส่ง

รถบรรทุกไฟฟ้าขนาดกลางเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนการพัฒนาร่วมกันระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจ ภายใต้โครงการ Commercial Japan Partnership Technologies Corporation (CJPT) เหมาะกับการใช้งานบรรทุกหนัก สามารถเติมเชื้อเพลิงได้รวดเร็ว และไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นการเพิ่มตัวเลือกรถบรรทุกในตลาด ตอบรับกับความต้องการก้าวสู่ยุคความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยในญี่ปุ่นได้มีการวิ่งทดสอบตามการใช้งานจริงตามเมือง และประเภทการใช้งานต่างๆ จำนวน 90 คัน เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่โตเกียว ฟุกุชิมะ และฟุกุโอกะ ส่วนประเทศไทยได้มีการวิ่งทดสอบแล้วจำนวน 4 คัน เมื่อเดือนก.ย.-พ.ย.66