ขณะที่ตลาดการลงทุนอื่นอย่างหุ้นไทยระยะนี้ดัชนียังคงผันผวนและไม่มีแรงให้ฟื้นกลับมาที่ดัชนี 1,400 จุด

ใคร ๆ ก็เลือกลงทุน

ทำให้เห็นกันชัดเลยว่า “ทองคำ” ยังเป็น “SafeHaven” หรือสินทรัพย์ปลอดภัยที่คนเลือกลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมาคงพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าทองคำคือหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนแห่กันเข้ามาลงทุนจนทำให้ช่วงนั้นราคาทองคำค่อย ๆ ทุบสถิติสูงเป็นประวัติศาสตร์ขึ้นต่อเนื่องบวกกับในปีถัดมาเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาน้ำมันปรับขึ้นเกิดภาวะเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง แถมค่าเงินบาทอ่อนค่าก็ยิ่งผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปอีก

20 ปีขึ้นมา 25,850 บาท

แม้ก่อนหน้านี้ ใครหลายคนต่างก็รู้กันว่าผลตอบแทนส่วนต่างของ “ราคาทองคำ” ในระยะสั้นจะไม่หวือหวาเท่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซีแต่เมื่อย้อนกลับไปดูราคาทองคำเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หรือตั้งแต่ปี 2547 ที่ราคาทองคำต่ำสุด 7,250 บาท และสูงสุด 8,500 บาท ทั้งปีปรับเพิ่มขึ้น 400 บาท พบว่าหลังจากนั้นราคาได้ปรับเพิ่มมาเรื่อย ๆ เกือบทุกปีหรือระหว่างนั้นมีเพียงแค่ 4 ปีที่ราคาทองคำปรับลดลง คือ ปี 2556 ลดลงหนักสุด 5,350 บาท, ปี 2557 ลดลง 250 บาท, ปี 2558 ลดลง 250 บาท และปี 2561 ลดลง 350 บาท

ส่วนที่เหลือเป็นปีที่ราคาทองคำปรับขึ้นมาทั้งหมด จนกระทั่งจบปี 2566 ระดับราคาทองคำต่ำสุด 29,550 บาท สูงสุด 34,250 บาท หรือราคาปรับเพิ่มขึ้นมา 4 เท่าตัวจากระดับ 8,500 บาท และหากคิดคำนวณตลอดระยะ 20 ปี จากปี 2547-ปี 2566 พบว่าราคาทองคำขึ้นทั้งหมด 25,850 บาท ปีนี้ขึ้นมาอีก 6,200 บาท

ขณะที่ต้นปี 2567 ถึง ณ วันที่ 5 เม.ย. 2567 เวลา 14.13 น. ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 39,650 บาท ขายออกบาทละ 39,750 บาท และทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 38,930.88 บาท ขายออกบาทละ 40,250 บาท พบว่าเพียงแค่ 3 เดือนเศษ ราคาทองคำปรับขึ้นมาอีก 6,100 บาท จากสิ้นปี 2566 ที่ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 33,550 บาท ขายออกบาทละ 33,650 บาท และทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 32,942.68 บาท ขายออกบาทละ 34,150 บาท หรือหากนับรวมกับ 20 ปีก่อนก็เท่ากับว่าตอนนี้ราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วทั้งหมด 31,950 บาท

เหตุผลที่ทองคำปรับขึ้น

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นมาในช่วงนี้ คือการคาดการณ์ที่ว่าวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สิ้นสุดลงและเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ พร้อมคาดการณ์ว่าปีนี้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งซึ่งไปกดดันสกุลเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ร่วงลง 

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโมเมนตัมทางเทคนิค หลังจากราคาทองคำทะลุเป้าหมายของปีนี้และความต้องการทองคำจากประเทศจีนทำให้จีนมีการซื้อขายในระดับราคาที่สูงกว่าราคาทองคำในตลาดโลกและแรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลก ยังเพิ่มขึ้นอีก 39 ตันในเดือน ม.ค. โดยตุรกีและจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกมีการซื้อสุทธิทองคำเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน

ไม่มีคนขายมีแต่คนซื้อ

นอกเหนือจากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นมาจากในอดีตอย่างน่าตกใจแล้ว ยังต้อง “แปลกใจ” กับพฤติกรรมของนักลงทุนและผู้ซื้อทองคำทั่วไปด้วยเพราะ “ช่วงจังหวะทองคำปรับขึ้นกลับไม่มีคนขาย แต่มีคนเข้าซื้อเพิ่ม” ซึ่งเป็นทฤษฎีย้อนกลับที่แตกต่างจากภาพในอดีต…ที่เมื่อใดก็ตามราคาทองคำปรับขึ้นร้านทองในแต่ละแห่ง โดยเฉพาะย่านเยาวราชจะเต็มไปด้วยบรรดานักลงทุนและคนทั่วไปแห่มาเข้าคิวกันอย่างคึกคักล้นออกมาหน้าร้านเพื่อรอขายทองคำหวังกำไร

ส่วนภาพที่เริ่มเห็นในช่วง 1-2 ปีมานี้กลับกลายเป็นคนมาเข้าแถวซื้อทองคำเพื่อสะสมแทน ซึ่งมองว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนมีความเชื่อมั่นว่าทองคำยังปรับราคาขึ้นต่อไปอีก หลังจากรับรู้ข่าวการปรับขึ้นของทองคำในช่วงนี้และเปรียบเทียบราคาย้อนหลังในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมามีแต่ปรับขึ้น อีกทั้งยังมีนักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์ตัวเลขราคาทองคำให้เห็นว่าช่วง 5 ปี 10 ปี จากนี้ยังคงปรับขึ้น ซึ่งด่านแรกที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ…นั่นคือราคา 40,000 บาท ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ขณะนี้

เสี่ยงทองปลอมระบาด

เมื่อราคาทองแพงขึ้นปัญหาหลักที่ตามมาเสมอนั่นก็คือการโจรกรรมและมิจฉาชีพ ร้านค้าบางแห่งโดยเฉพาะที่ขายทองออนไลน์อาจใช้โอกาสหลอกขายทองคำปลอมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ทองเกรดเอ, ทองไมครอน, ทองโคลนนิ่ง, ทองยัดไส้ รวมถึงทองรูปพรรณ โดยนำเทคนิคใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อให้ทองคำปลอมมีความใกล้เคียงกับทองคำจริงมากที่สุด และไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า รวมถึงการใช้เครื่องมือตรวจสอบที่มีขนาดเล็ก ไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งกระทบกับร้านค้าที่รับซื้อทองคำโรงรับจำนำรวมถึงทำให้ผู้บริโภคเกิดความหวั่นวิตกในการเลือกซื้อทองคำว่าได้มาตรฐานหรือไม่

ฉะนั้น…การเลือกซื้อทองคำที่ดีที่สุด ผู้บริโภคควรตรวจสอบที่มาของทองให้ดีโดยเฉพาะการซื้อขายผ่านออนไลน์ที่มีราคาต่ำกว่าท้องตลาด ควรซื้อร้านทองที่มีสถานที่ตั้งชัดเจน มีประกาศราคาทองคำขึ้นลงอย่างชัดเจนสัญลักษณ์ที่ต้องสังเกตทุกครั้ง คือ ป้ายสมาชิกสมาคมค้าทองคำจะช่วยให้มั่นใจได้ในอีกระดับหนึ่ง หรือซื้อจากร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ในโครงการซื้อด้วยความมั่นใจผ่านใบรับรองจีไอที

ตรวจสอบทองเองเบื้องต้น

สำหรับการตรวจสอบทอง “แท้” หรือ “ปลอม”เบื้องต้นด้วยตัวเอง ได้แก่ 1.ดูขนาดของทอง ต้องใช้การสังเกตให้ดีว่าทองคำหนัก 1 บาทหรือ 2 บาทนั้นควรมีขนาดแค่ไหน น้ำหนักกับขนาดต้องสอดคล้องกัน ถ้าบอกหนัก 1 บาทแต่มีขนาดใหญ่มากก็ให้ระวังไว้เลยว่าอาจเป็นทองปลอมได้ 2.วัดจากน้ำหนักของทองคำ 3.ดูที่ตราหรือโลโกร้าน ใช้แว่นขยายส่องดูตามข้อหรือห่วงของทอง 4. หยดด้วยน้ำกรดไนตริกจะไม่เกิดปฏิกิริยาไม่เปลี่ยนสีหรือหลอม ละลาย แต่ถ้าทองคำนั้นมีโลหะอื่นผสม เช่น ทองแดงก็จะละลายไปอย่างเห็นได้ชัดเจน

5.ทดสอบโดยใช้แม่เหล็กถ้าดูดติดทันที ทองเส้นนั้นเป็นทองปลอมแน่นอน 6.ดูจากรอยต่อหรือจุดที่ทองเสียดสีกันโดยใช้แว่นขยายดูตามรอยต่อหรือจุดเสียดสี ถ้าเป็น “ทองคำแท้” จะไม่มีรอยลอกหรือเปลี่ยนสี 7.ทดสอบโดยการกัดด้วยฟัน หากทองคำแท้จะมีความแข็งไม่มากถ้ากัดก็จะเกิดรอยบุ๋มเห็นได้ชัด แต่ถ้าเป็นทองปลอมผสมเหล็กหรือทองแดง หรือทองชุบจะแข็งมาก และ 8.โยนลงบนกระจกหากทองจริงถ้าโยนไปกระทบกับกระจกจะได้ยินเสียงกระทบกันแบบนุ่ม ๆ ไม่มีเสียงแหลมไม่ดัง แต่ถ้าเป็นทองปลอมเสียงจะดัง “แก๊ง ๆ” อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้คงทำให้นักลงทุน “ยิ้มหน้าบาน” กันไม่น้อย หลังจากนี้ราคาทองคำจะไต่ขึ้นไปได้ไกลขนาดไหน ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด…โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีการซื้อขายทองคำในระยะสั้น อย่าลืมเผื่อใจเก็บเงินไว้ในมือบ้าง เพราะเผลอ ๆ ราคาอาจจะร่วงลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ตามทฤษฎีทุกการลงทุนมีความเสี่ยง.

แนะถือครองต่อไปได้

ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส บอกว่า นักลงทุนไทยที่มีทองคำในพอร์ตแนะนำให้ถือต่อได้เพราะค่าเงินบาทในช่วงนี้ยังไม่เห็นโอกาสที่จะแข็งค่าจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐและไทยที่ต่างกันถึง 3% และมองว่าปีนี้ถือเป็นปีที่ดีของนักลงทุนทองคำโดยผลตอบแทนจากราคาทองย้อนหลัง 3 เดือน ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 16-17% แล้ว โดยประเมินว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้หลังจากยังเห็นแรงซื้อจำนวนมาก โดยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับลดในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขณะเดียวกันธนาคารกลางหลายแห่งเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง 2 ปีติดต่อกัน โดยเฉพาะประเทศจีนที่ยังมีทองคำต่อทุนสำรองต่ำพบว่ามีการซื้อต่อเนื่อง 16 เดือนแล้ว

ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าราคาทองคำปรับตัวขึ้นไม่หยุด ทั้งในตลาดโลกและตลาดประเทศไทยเอง หลังจากเกิดความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังคงมีความตึงเครียดโดยเฉพาะประเด็นระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนก็ยังสร้างแรงกดดันอยู่ อย่างไรก็ตามได้ประเมินเป้าหมายราคาทองคำเบื้องต้นอยู่ที่ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองแท่งในไทย 39,800 บาท มองว่ามีโอกาสทะลุเป้าหมายจากปัจจัยหนุนต่างๆ ข้างต้นทำให้ยังมีแรงซื้อต่อเนื่อง”

ลุ้น 20 สัปดาห์แตะ 5 หมื่น

กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการฝ่ายบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอสโกลด์ แม่ทองสุก กล่าวว่า ภาพรวมราคาทองคำในทุกวันนี้ ถือว่าปรับขึ้นไปอีก 1 ขั้นทำให้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เป็นทฤษฎีกลับด้าน คือรายย่อยมีการเข้าซื้อทองคำมากกว่าขาย โดยที่สัดส่วนการซื้อมีมากถึง 70% และขายออกเพียง 30% เท่านั้น เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าราคาทองคำน่าจะไปต่อได้ ที่สำคัญกลุ่มผู้ซื้อหรือนักลงทุนที่เข้ามาซื้อทองนั้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ทั้งกลุ่มเดิมที่ซื้อทองคำ และกลุ่มใหม่ที่มีเงินเย็นและไม่เคยซื้อมาก่อนแล้วหันมาซื้อเพื่อเก็บสะสม เพราะมองว่าเป็นการออมและได้กำไรในอนาคต แม้บางส่วนที่ขายทิ้งไปตั้งแต่ช่วงโควิดก็ยังไม่มีเงินกลับเข้ามาซื้อเหมือนเดิมก็ตาม ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่แปลก ที่การลงทุนการเข้าซื้อกลับด้านไม่เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม ยังคงประเมินสถานการณ์ราคาทองคำว่า ในเร็ว ๆ นี้ อีกไม่นานเชื่อว่าราคาทองคำแท่งจะปรับขึ้นไปถึงบาทละ 40,000 บาท ได้ไม่ยากเพราะราคาทองคำในต่างประเทศยังคงปรับขึ้น และค่าเงินบาทอ่อน ซึ่งเป็นปัจจัย 2 เด้ง ที่ทำให้ราคาทองรูปพรรณทะลุ 40,000 บาทเร็วกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเห็นช่วงปลายปี 67 และหลังจากนี้ คาดว่ายังโอกาสที่ขยับราคาไปถึง 50,000 บาท ประมาณ 20 สัปดาห์ข้างหน้า”

ปีนี้ขึ้นไม่เกิน 43,000 บาท

พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท วายแอลจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด บอกว่า จากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลก ปัญหานโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากประกาศลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ เชื่อว่า 2 ปัจจัยน่าจะผลักดันให้ราคาทองคำไปต่อได้ ตั้งแต่ต้นปีทองคำไทยราคาเพิ่มขึ้นมาแล้ว 17-18% เพราะบาทอ่อนไป 8-9% เชื่อว่าการขึ้นลงมักขึ้นลงเป็นฟันปลา และระยะใกล้น่าจะย่อบ้างเช่นเมื่อวันที่ 4 เม.ย. ทองคำราคา 41,200 บาท ขณะที่วันที่ 5 เม.ย. ย่อลงมาต้น ๆ 40,000 บาท เชื่อว่ามีโอกาสที่ราคาทองคำย่อไปต้น ๆ 39,000 บาทจนถึงปลาย ๆ 39,000 บาท ถือว่าเป็นจังหวะดีที่เข้าสะสม แนวรับสุดท้ายระยะใกล้มีโอกาสเห็น 38,500 บาท จุดที่น่าสะสม

ส่วนนักลงทุนที่มีทองอยู่ในมือ ทุกจุดแนวต้าน 42,000-42,500 บาท ถือเป็นจุดทยอยออกไปทำกำไรระยะสั้น เพื่อไม่ให้เสียโอกาสการลงทุน โดยการลงทุนบนทองคำ มีการปรับขึ้นปรับลงตลอดเวลา และระยะใกล้มีโอกาสไปต่อ ส่วนจะถึง 50,000 บาทหรือไม่นั้น ต้องดูปัจจัยหลายอย่าง และต้องดูเงินบาทอ่อนค่า อย่างปีที่แล้วอ่อนค่าสุด 38 บาท ทองคำสูงสุด 2,350 ดอลลาร์ต่อทรอยเอานซ์ คาดว่าราคาสูงสุดในปีนี้ 42,500-43,000 บาท คิดว่าเป็นจุดสูงสุด ยกเว้นจะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาอย่างรุนแรงจนทำให้นักลงทุนไม่มีเสถียรภาพ มองหาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในปัจจุบัน”.

ทีมเศรษฐกิจ