ที่มูลนิธิปวีณาฯ วันที่ 6 เม.ย.67 เวลา 15.00 น. นายเอ และนางบี สองสามีภรรยา (นามสมมุติ) เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า น้องซี (นามสมมุติ) ลูกสาววัย 4 ขวบ ขณะนี้บาดเจ็บสาหัสอาการโคม่าอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ.นครสวรรค์ หลังนำไปฝากเลี้ยงกับนางป๊อบ เพื่อนตนที่จ.พิจิตร โดยแพทย์ระบุ เด็กบาดเจ็บเลือดคั่งในสมองข้างซ้าย สมองบวม ปอดช้ำ อวัยวะเพศฉีกขาด มีบาดแผลฟกช้ำทั่วร่างกาย วินิจฉัยเบื้องต้น ถูกทำร้าย และอาจจะถูกข่มขืน ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ให้แม่ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งไปแจ้งความไว้แล้วที่สภ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา

นางบี กล่าวอีกว่า ช่วงกลางเดือน ต.ค.66 ตนกับสามีมีปัญหาแยกทางกัน และนำลูกไปอยู่ด้วยที่ จ.นนทบุรี ต่อมาเดือน พ.ย.66 ตนได้งานรับจ้างก่อสร้างไม่มีคนเลี้ยงลูก นางป๊อบ อายุ 33 ปี เพื่อนที่รู้จักกันอยู่ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ได้อาสาเลี้ยงลูกให้ โดยนางป๊อบ อาศัยอยู่กับสามีและลูก 1 คน อายุ 5 ขวบ บอกว่าเด็กๆจะได้กินนอนอยู่เป็นเพื่อนกัน ตนจึงไว้ใจนำลูกไปฝากเลี้ยงก่อนจะเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ กระทั่งเดือนมี.ค.67 นางป๊อบบอกว่าน่าจะให้น้องซี เข้าโรงเรียนได้แล้ว ซึ่งตนก็คิดว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายจึงคิดว่าจะไปรับลูกมาเลี้ยงเอง แต่นางป๊อบ อิดออดไม่ยอม บอกจะเลี้ยงให้เองซึ่งตนก็รู้สึกผิดสังเกต

นางบี เล่าอีกว่า ปกติแล้วตนจะวิดีโอคอลคุยกับลูกผ่านเฟซบุ๊กเกือบทุกวัน ทุกครั้งนางป๊อบ ก็จะใส่ฟิลเตอร์ที่หน้าลูกก็เห็นปกติดี จนเช้าวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่วิดีโอคอลคุยกับลูกเห็นผิดสังเกต น้องซี มีอาการตาลอย ไม่ค่อยพูดคุยกับแม่เหมือนทุกครั้ง แต่ก็เห็นไม่ชัดเพราะใส่ฟิลเตอร์ที่ใบหน้าลูกขณะวิดีโอคอล จึงถามนางป๊อบว่าลูกเป็นอะไรรึเปล่า ซึ่งนางป๊อบก็บอกลูกปกติดีไม่เป็นอะไร ต่อมานางป๊อบได้โทรมาหาตนด้วยอาการตกใจบอกว่า น้องซี มีอาการชักเกร็งไม่ได้สติ และนำส่งโรงพยาบาลตำบล แต่อาการหนักแพทย์จึงส่งตัวต่อมาที่โรงพยาบาลในจ.นครสวรรค์ จึงรีบไปที่โรงพยาบาล พอเห็นสภาพลูกก็แทบช็อก ลูกตัวดำ ผอม มีร่องรอยเป็นจ้ำที่แขน คอ มือ ไหล่ หลัง และเล็บจิก คล้ายถูกทำร้าย แต่นางป๊อบ อ้างว่า ลูกขี่จักรยานล้มบ้าง ตกบันได และสุนัขวิ่งชนไปกระแทกเตาบ้าง

ขณะที่แพทย์แจ้งว่าลูกอาการโคม่า เลือดคั่งในสมองข้างซ้าย สมองบวม ปอดช้ำ อวัยวะเพศฉีกขาด มีบาดแผลฟกช้ำทั่วร่างกาย สาเหตุจากถูกทำร้ายและอาจจะถูกข่มขืนให้รีบไปแจ้งความ ตนได้ถามนางป๊อบ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก นางป๊อบ บอกว่าน้องซี ขี่รถจักรยานล้มเท่านั้น ไม่ได้มีใครทำอะไร และนางป๊อบ ยังขอร้องไม่ให้แจ้งความ แต่ตนต้องการทวงความยุติธรรมให้ลูก และสงสัยว่านางป๊อบ กับสามีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่

นางบี ผู้เป็นแม่กล่าวอีกว่า หลังจากไปแจ้งความที่สภ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ตำรวจเรียกตัวสองสามีภรรยาไปสอบสวนแล้วก็ปล่อยตัวไป ทั้งสองยังใช้ชีวิตอยู่ปกติดี ตำรวจบอกว่าได้แจ้งข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกาย และกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ไปแล้ว แต่ตนยังติดใจสงสัยอย่างมาก ลูกถูกทำร้ายจนจะเสียชีวิจอยู่แล้ว และยังถูกข่มขืนอีกด้วย แต่ผู้ต้องสงสัยกลับยังใช้ชีวิตปกติเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น ล่าสุดแพทย์บอกว่า หลังรักษาน้องซี มาร่วม 20 วัน อาการไม่ดีขึ้น ผ่าตัดไม่ได้เพราะอาจไม่รอด หรือเป็นเจ้าหญิงนิทรา ตอนนี้พบปอดติดเชื้อรุนแรง ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจน้องก็จะไม่อยู่แล้ว ตนยังทำใจไม่ได้ ต้องการให้คนที่ทำกับลูกมารับโทษตามกฎหมาย จึงมาร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยทวงความเป็นธรรมให้ด้วย ลูกของตนจะต้องไม่ตายฟรี”

หลังรับเรื่อง นางปวีณา ได้ประสาน พล.ต.ต.ฐเดช กล่อมเกลี้ยง ผบก.จว.พิจิตร และพ.ต.อ.วัชรเกียรติ ศิริวิมลฤทธิ์ ผกก.สภ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เร่งรัดคดีเนื่องจากพ่อแม่ได้แจ้งว่า แพทย์วินิจฉัยเด็กถูกทำร้ายและถูกข่มขืน ซึ่งขณะนี้เด็กอาการขั้นวิกฤติโดยหากถอดเครื่องช่วยหายใจก็เสียชีวิต โดยตำรวจจะเพิ่มข้อหาและสอบปากคำแพทย์ และนางปวีณาได้ประสานให้พ่อแม่ไปพบกับ พ.ต.อ.วัชรเกียรติ ศิริวิมลฤทธิ์ ผกก.สภ.บางมูลนาก ในวันอังคารที่ 9 เม.ย.นี้ เวลา 10.00 น. เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป