เป็นเหตุให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงกับใช้เวทีซักฟอกรัฐบาลตามมาตรา 152 กล่าวทิ้งทวนอำลาสภาว่า “แล้วผมก็ไม่เคยเสียใจด้วยว่าการอภิปราย มาตรา 152 ในครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของผม ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นความลับอะไร ทุกคนก็ทราบดีอยู่ว่าชีวิตทางการเมืองของผมตอนนี้ก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย  แต่ผมก็พร้อมที่จะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่ได้มีอะไรติดค้างใจต่อไป”

ตามด้วยที่ประชุมใหญ่สามัญพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา เลื่อนวาระพิจารณาปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคออกไป จนกว่าจะมีข้อสรุปของคดีที่ค้างอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายกันไว้ว่า ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะคืนเก้าอี้หัวหน้าพรรคให้ พิธา” ในช่วงเวลานี้

สิ่งที่ก้าวไกลทำได้ในวันนี้คือการขอขยายระยะเวลาในการส่งคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่ามีเอกสารที่ต้องแสดงหลายร้อยหน้าหวังต่อลมหายใจออกไปอีกเฮือก  ขณะเดียวกัน พิธา” ฝากคำท้าทายไว้ว่ายิ่งยุบก้าวไกลก็ยิ่งโต เหมือนติดเทอร์โบให้ได้แต้มต่อทางการเมืองในการเลือกตั้งรอบหน้า ส่วน ชัยธวัช” ปลุกปลอบขวัญสมาชิกพรรคอย่าหวั่นไหวกับพายุใหญ่ คนที่ต้องหวั่นไหวคือคนที่อยากทำลายพรรค เพราะวันนี้กูรูทุกสำนักฟันธงแล้วว่าเลือกตั้งรอบหน้าก้าวไกลมาแน่

อย่างไรก็ตามจะได้เห็นของจริงก็ต่อเมื่อผลลัพธ์หลังศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตาก้าวไกลว่าออกมาในรูปแบบใด ซึ่งคาดว่าอาจจะติดเทอร์โบไวปานจรวดภายใน 1-2 เดือนนี้ หรือก่อนเปิดประชุมสภา สมัยวิสามัญถกงบปี 68 ช่วง พ.ค.-มิ.ย. หรือไม่

หากเลวร้ายสุดถึงขั้นยุบพรรคตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ งานหนักหลังจากนี้คือการเฟ้นหาตัวบุคคลคุณภาพมาเป็นแกนนำพรรครุ่น  3 เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนและผู้สนับสนุนพรรคเดินหน้าลุยสนามการเมืองต่อ ซึ่งวันนี้ภาพยังไม่ชัดว่าใครโดดเด่นพอที่จะนำทัพด้อมส้มสู้ศึกในสภาและในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

สุดท้ายประเด็นน่าห่วงและท้าทายที่สุดคือการกวาดต้อนจัดแถวจัดทัพ สส.ทั้งหมด 148 คนให้ย้ายไปบ้านใหม่ให้ครบตามจำนวน 148 คน โดยไม่แตกแถวจากสิ่งยั่วยุล่อตาล่อใจเหมือนที่เคยเกิดขึ้นหลังพรรคอนาคตใหม่แพแตก ปรากฏการณ์งูเห่าแตกรังครั้งมโหฬารจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ รอบนี้จะเป็นสิ่งที่วัดอุดมการณ์และคุณภาพการคัดสรรตัวบุคคลมาเป็น สส.ของพรรคก้าวไกลได้ดีที่สุด.

พิราบ บานเย็น