สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ว่า นางแอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าระบบโลกระหว่างประเทศ “จวนจะล่มสลาย”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สหรัฐปกป้องและคุ้มครองทางการอิสราเอล จากการตรวจสอบการละเมิดหลายครั้งในฉนวนกาซา รวมถึงใช้อำนาจวีโต้การหยุดยิงที่มีความจำเป็นอย่างมาก และทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ” คาลามาร์ด กล่าวเพิ่มเติม
ด้านแอมเนสตี้ ระบุเสริมว่า แม้กลุ่มฮามาสก่ออาชญากรรมอันน่าสยดสยอง ต่อชุมชนชาวอิสราเอลบริเวณชายแดนฉนวนกาซา แต่อิสราเอลก็ตอบโต้ ด้วยการลงโทษแบบเหมารวม ไม่ว่าจะเป็นการจงใจทิ้งระเบิดใส่พลเรือน และโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน “แบบไม่เจาะจง” ตลอดจนการปฏิเสธความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และความอดอยาก
Post-WWII order on 'brink of collapse': Amnesty head https://t.co/1hTNzo4Xrp pic.twitter.com/THJRKWUjKM
— CNA (@ChannelNewsAsia) April 24, 2024
นอกจากนี้ คาลามาร์ด กล่าวเตือนว่า ผู้มีบทบาทที่ทรงอิทธิพลรายอื่น เช่น รัสเซีย และจีน ต่างแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ที่จะทำให้ระเบียบ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎปี 2491 ตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นกัน
“มันจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วน ในการฟื้นฟูและยกเครื่องสถาบันระหว่างประเทศ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องมนุษยชาติ” คาลามาร์ด กล่าว “สิ่งที่พวกเราเรียกร้อง คือ การปฏิรูปอย่างเร่งด่วนของยูเอ็นเอสซี โดยเฉพาะการปฏิรูปสิทธิวีโต้ เพื่อไม่ให้มีการนำไปใช้ในสถานการณ์ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่”
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษชนระดับโลกประจำปี ซึ่งเผยแพร่โดยแอมเนสตี้ ยังพบว่า การเพิ่มขึ้นของเอไอ ก่อให้เกิดความกังวล, การบ่อนทำลายสิทธิอย่างแพร่หลาย, นโยบายแบ่งแยกเชื้อชาติ และการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยแอมเนสตี้ กล่าวหาว่า บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เพิกเฉย หรือกลบเกลื่อนภัยคุกคามเหล่านั้น แม้แต่การขัดกันทางอาวุธก็ตาม.
เครดิตภาพ : AFP