พันตำรวจเอก ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ พีดีพีซี เปิดเผยว่า การบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย พีดีพีเอ ได้กำหนด ให้สามารถมีการขอคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านตัวกฎหมายจาก พีดีพีซี หรือ สคส. ได้ตามมาตรา 44 (6) รวมถึงขอให้ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้ความเห็น ตีความหรือวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาที่เกิดจากการบังคับ ใช้กฎหมาย ได้ตามาตรา 16 (9) และ (10) จึงได้เปิดให้ประชาชนสามารถเข้าหารือได้ทุกเวลาใน 3 ช่องทาง ประกอบด้วย รูปแบบหนังสือ, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล, ทางโทรศัพท์และ วอลค์อิน โดยจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติกร ทำหน้ากลั่นกรองข้อมูลและความสลับซับซ้อน และวิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ จากนั้นนำข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องมาประกอบ เพื่อสรุปความเห็นเบื้องต้นที่เกี่ยวกับแนวทางการตอบคำถาม

“พีดีพีเอ ถือเป็นเรื่องใหม่และมีรายละเอียดที่ค่อนข้างมากสำหรับสังคมไทย ไม่ว่าจะกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงประชาชนผู้เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเอง ที่อาจเกิดประเด็นข้อสงสัย ไปจนถึงความต้องการเรื่องคำปรึกษาเพื่อสร้างความชัดเจนในการดำเนินการ ตลอดจนการปฏิบัติที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับกฎหมาย”

พันตำรวจเอก ศิริพล กล่าวต่อว่า  สำนักงานกฎหมายจะแบ่งกระบวนการตอบข้อหารือออกเป็น 2 ระดับ ระดับที่หนึ่ง เป็นเรื่องข้อหารือที่ไม่ยุ่งยากหรือมีการวางแนววินิจฉัยไว้แล้ว จะสามารถตอบข้อหารือตามกระบวนการได้เลย ทั้ง ให้บุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญตอบทางโทรศัพท์ หรือให้คณะทำงานที่ปรึกษาตอบทางอีเมล เป็นต้น ส่วนในระดับที่สอง เป็นเรื่องข้อหารือที่มีความสลับซับซ้อนหรือยังไม่เคยวินิจฉัยมาก่อน ข้อหารือนั้นจะต้องนำเสนอต่อ คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯ หรือเสนอต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อดำเนินการประชุมอย่างเป็นทางการ และวินิจฉัยคำตอบที่ชัดเจนออกมา 

โดยตั้งแต่เริ่มต้น มาจนถึงวันที่ 1 เมษายน 2567 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีสถิติตอบข้อหารือและให้คำปรึกษาแยกตามช่องทางที่มีการเข้ามาหารือ ดังนี้

· รูปแบบหนังสือ หารือเข้ามาจำนวน 136 เรื่อง แล้วเสร็จ 57 เรื่อง

· ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล หารือเข้ามาจำนวน 388 เรื่อง แล้วเสร็จ 123 เรื่อง

· ทางโทรศัพท์ หารือเข้ามาจำนวน 4,280 เรื่อง แล้วเสร็จทั้งหมด และ Walk-in หารือเข้ามาจำนวน 80 เรื่อง แล้วเสร็จทั้งหมด

ซึ่งข้อหารือที่พบมากในระยะเวลาที่ผ่านมา เช่น กรณีโดนบุคคลถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอคลิป ที่เป็นข้อมูลทำให้ระบุตัวบุคคลนั้นได้โดยไม่มีการขอความยินยอมก่อน ไม่ถือว่ามีความผิดตาม PDPA หากพิจารณาได้ว่าการโดนถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอคลิปดังกล่าว ‘เป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน’ แต่หากรูปหรือคลิปนั้นทำให้เกิดความเสียหายหรือละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว ผู้กระทำก็อาจมีความผิดตามกฎหมายอื่น เช่น พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ได้เช่นกัน และ กรณีการติดตั้งกล้องวงจรปิด สามารถแยกได้เป็น ประชาชนทั่วไปติดตั้งที่บ้านของตน หากเป็นการรวบรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือเพื่อกิจกรรมในครอบครัวของบุคคลนั้น จะได้รับการยกเว้นไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของ PDPA ต่างจากกรณีร้านค้า องค์กร หรือหน่วยงานที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่ ที่ต้องนำ PDPA มาใช้บังคับ เช่น ต้องแจ้งวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นประกาศเป็น Privacy Notice เป็นต้น