เรียกได้ว่าเป็นนักร้องในตำนานขวัญใจชาวยุค 90 กันเลยทีเดียว สำหรับ “โต-วีรชน ศรัทธายิ่ง” หรือ “โต อดีตนักร้องนำวง SillyFools” ที่ปัจจุบันนี้ผันตัวมาเป็นยูทูบเบอร์ และทำธุรกิจร้าน “เนื้อแท้” มานานกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งตัวเขาเองก็ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนาน ล่าสุด ได้เจอ โต วีรชน ในงานเปิดตัวสินค้าใหม่ “เนื้อแท้ แองกัส” งานนี้ก็ไม่พลาดเจ้าตัวมาอัปเดตชีวิตสักหน่อย

โต วีรชน เผยว่า “ช่วงนี้ลุยธุรกิจร้านเนื้อแท้อย่างเดียว แค่นี้ก็ไม่มีเวลานอนแล้ว (คิดถึงการเป็นนักร้องบ้างมั้ย?) ไม่หรอกครับ เพราะผมชอบกิน ขณะเป็นนักร้องก็ชอบกินเนื้ออยู่ดี ผมชอบกินมากกว่าร้องเพลง เพราะทำมาหากินเพื่อกิน ทำในสิ่งที่กินเลย ยังทำในสิ่งที่รักอยู่ ผม 50 แล้วนะ คงไม่คิดถึงตอนเราไปอยู่บนเวทีแล้ว มันไม่ไหว และผมคิดว่ามันมีวัยของแต่ละคน นักร้องควรจะเป็นวัยรุ่นหน่อย ผม 50 แล้ว ก็ต้องทำงานทำอะไร อยู่กับลูก ก็มีความสุขดีกับตรงนี้ ถ้าแฟนคลับคิดถึง ก็มากินเนื้อแท้สิ ไม่แล้ว ผมไม่ได้คิด เพราะว่าผมทำดนตรีจนกลายเป็นอาชีพมากๆ มาหลายปีแล้ว ความสุขที่ได้ตอนเป็นวัยรุ่นตอนแรกมันไม่ได้มี มันกลายเป็นธุรกิจเพลง มันเป็นงานอ่ะ มันเลยไม่ได้คิดถึงงานนั้นเท่าไหร่ นี่หยุดร้องเพลงมา 10 กว่าปีแล้วนะ น่าจะถาวรแล้วล่ะ แก่แล้ว

ถ้าถามว่าทางค่ายโทรฯ มาให้ไปคอนเสิร์ตรียูเนี่ยนบ้างมั้ย ค่ายรู้ดีว่าไม่ควรจะโทรฯ มา เขารู้นิสัยผมดี คือมันไม่ได้อยากทำแล้วอะ ถ้าผมอยากทำอยู่ก็คงทำได้อีก ค่ายก็พร้อมจะสนับสนุนตั้งแต่แรก เขาไม่ได้บอกให้เลิกทำ อย่างพี่เล็กก็อยู่ข้างบ้านผม อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ไม่มีปัญหา ผมแค่ไม่ได้อยากทำแค่นั้นเอง (หมดแพสชั่น?) เวลาทำอะไรซ้ำๆ ผมไม่ค่อยชอบ ผมทำซ้ำๆ มาหลายปี แล้วก็รู้โพรเซสแล้ว ไม่ตื่นเต้น ร้านอาหารตื่นเต้นมั้ย ตื่นเต้น มันมีอีกอาจจะเป็น คำโตๆ อะไรก็แล้วแต่ และอีกหลายอย่างที่ผมอยากทำ คนเรามันต้องกินเมนูหลายจาน กินจานเดียวเบื่อ (แต่เพลงก็มีหลายแบบ?) แต่ผมชอบแบบเดียว ผมชอบแบบเดียวก็จบแล้ว มีแฟนคลับเข้ามาทักทาย ไปออสเตรเลียยังมีแฟนคลับผมเลย คนรุ่นผมก็มี รุ่นเด็กก็มี อายุ 11-12 มาทักผม ผมก็งงว่ารู้จักได้ไงวะ ก็แปลกอยู่เหมือนกัน เพราะว่าไม่รู้เขารู้จักผมได้ไง การที่คนรักและคิดถึงมันก็รู้สึกดี แต่ไม่ได้แปลว่าผมจะกลับไปร้องเพลง เด็กสมัยนี้อาจจะรู้จักผมในคำโตๆ ด้วยซ้ำ เพราะว่าผมมีลูก มีคอนเทนต์ มีเด็ก เขาก็ชอบดู”

โต วีรชน เผยต่อว่า “อย่างลูกๆ มีแววทุกคน แต่ผมไม่ให้เป็น ผมไม่อยากให้ไปทางนั้น ผมรู้ลึกกว่าตรงนั้น มีอะไรที่อาจทำให้เขาผิดไปจากความถูกต้อง มันมีสิ่งยั่วยุในสังคมที่ทำให้คนอาจจะไปอีกทาง มันไม่ได้เหมาะกับวิธีการที่ผมเลี้ยงลูก ผมมีกระบวนการเลี้ยงดูของผมอยู่ แล้วก็ผมไม่ได้บังคับลูกให้เป็นอะไรนะ แต่ว่าบันเทิงจ๋าอาจจะไม่เหมาะสม ความชอบการร้องเพลงของลูก ไม่มี เพราะที่บ้านผมเขาไม่ได้ฟังเพลงเลย เขาไม่รู้ว่าผมเป็นนักร้อง เขาไม่รู้เลย หลังๆ เพื่อนที่โรงเรียน เรียกว่า พ่อ Silly Fools เขาถามทำไมเขาด่าพ่อ เพราะพูดภาษาอังกฤษ เขาชอบด่าพ่อเป็น ไอ้โง่ ผมบอกไม่ใช่ลูก ไม่รู้เงียบๆ ไว้ลูก อยู่เฉยๆ ไว้ดีกว่าลูก หลังๆ เขารู้ เขารู้ว่ามันไม่ได้ตามหลักของศาสนา เพราะเขาก็รู้ดี เขาเรียนโรงเรียนกึ่งศาสนาอยู่แล้ว เลยไม่ต้องอธิบายเยอะ เขาบอกทำไมพ่อทำล่ะเมื่อก่อนนี้ พ่อทำบาปแบบนั้นได้ไง ก็อธิบายว่าพ่อไม่รู้มาก่อน

(ไม่ให้ลูกเข้ามาวงการบันเทิงเลย?) ไม่ๆ ขออย่างหนึ่ง ทุกคนรู้หมดว่า เวลาเลี้ยงลูกตอนเป็นวัยรุ่นมันมีปัญหา เพราะมันมีสิ่งยั่วยุทำให้คนอาจตัดสินใจผิดทางได้ แล้วมันอาจมีปัญหาทีหลัง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพ่อแม่ ทำยังไงให้เขาสามารถที่จะบินออกไปได้ งานผมจะง่ายขึ้น ถ้าไม่ให้เขาไปชิมสิ่งเหล่านี้ หน้าที่ผม ถ้าเขา 12-13 ก็แล้วแต่เขาหลังจากนั้น”..