สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ว่า โตชิบาที่กำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์รอบด้าน มีแผนที่จะลดจำนวนพนักงานในประเทศมากถึง 4,000 ตำแหน่ง โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างบริษัท หลังได้ทำการขายหุ้นของบริษัทร่วม เมื่อเดือน ก.ย. 2566
การเลิกข้างดังกล่าวจะดำเนินการได้ ภายในเดือน พ.ย. 2567 นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้พนักงานซึ่งมีอายุมากกว่า 50 ปี ที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด เกษียณอายุก่อนกำหนดโดยสมัครใจ “มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับฝ่ายบริหาร แต่เราเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้มีความจำเป็น ในการทำให้โตชิบากลับเข้าสู่เส้นทางการฟื้นตัวและเติบโต” โฆษกของโตชิบา ระบุ
ทั้งนี้ การเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมากหาได้ยากในญี่ปุ่น แต่การใช้แผนการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือการให้ออกจากงานโดยสมัครใจได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โตชิบารายงานเพิ่มเติมว่า ตั้งเป้ากำไรจากการดำเนินงานไว้ที่ 380,000 ล้านเยน (ราว 88,462 ล้านบาท) และผลตอบแทนจากการขายที่ร้อยละ 10 ในปีงบประมาณ 2569 มากไปกว่านั้น มีแผนย้ายสำนักงานใหญ่จากเขตฮามามัตสึโช ในกรุงโตเกียว ไปยังเมืองคาวาซากิ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงโตเกียวกับเมืองโยโกฮามา ในช่วงครึ่งปีแรก ของปีงบประมาณ 2568
Recently delisted Toshiba to cut 4,000 jobs in restructuring drive https://t.co/4rfc4xeG7m pic.twitter.com/GNzrHLFqZM
— CNA (@ChannelNewsAsia) May 16, 2024
โตชิบามีรากฐานมาตั้งแต่ปี 2418 ก่อนจะพัฒนาเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี 2444 ในช่วงที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเริ่มฟื้นฟู หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โตชิบากลายเป็นชื่อที่โด่งดังในญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ จากการผลิตสินค้าหลายอย่าง ตั้งแต่คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปรุ่นบุกเบิก, ลิฟต์, การพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไปจนถึงไมโครชิป
อย่างไรก็ตาม วิกฤติการณ์ของโตชิบาค่อย ๆ เลวร้ายลง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รวมไปถึงเรื่องอื้อฉาวทางบัญชีครั้งใหญ่ เมื่อปี 2558 และการสูญเสียมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 36,292 บาท) หลังเข้าซื้อเวสติงเฮาส์ บริษัทโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐ
แรงกดดันจากผู้ถือหุ้นที่ออกมาประท้วง และข้อเสนอเทคโอเวอร์ จากกลุ่มทุนเอกชนซีวีซี กระตุ้นให้เกิดความพยายาม ที่จะล้มเลิกการแยกบริษัทออกเป็น 3 บริษัทย่อย และแบ่งโตชิบาออกเป็น 2 ส่วน
ในที่สุด คณะกรรมการของโตชิบายอมรับ เมื่อเดือน มี.ค. 2566 ให้มีการประมูลเทคโอเวอร์กลุ่มบริษัทร่วม ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 507,990 ล้านบาท) รวมไปถึงธุรกิจธนาคารและบริษัทอื่น ๆ ในญี่ปุ่นประมาณ 20 แห่ง
ขณะเดียวกัน หุ้นของบริษัทได้ถูกเพิกถอน ออกจากตลาดหลักทรัพย์โตเกียว เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา หลังจากมีการซื้อขายมานานกว่า 70 ปี อย่างไรก็ตาม วิกฤติการณ์ของโตชิบาครั้งนี้ ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความเป็นไปในอนาคตของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่มีธุรกิจหลากหลายทั้งในญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศ.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES