เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวคิดของบางฝ่าย ที่อยากให้นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า ขณะนี้กำลังจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อให้ประเทศออกจากความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีและควรทำ แต่การจะนำผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มารวมในการนิรโทษกรรมด้วยนั้น ถ้าไม่ละเอียดรอบคอบ และไม่มีการแยกแยะ อาจทำให้สังคมมีความขัดแย้ง และอาจลุกลามจนทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ ดังนั้น กรณีของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขหรือจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ถูกกล่าวหาว่าทำผิดตามกฎหมายนี้ อาจทำให้รัฐบาลจบเร็วกว่าที่คิด ถ้าไม่คิดรอบด้าน สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเหมือนรั้วที่มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกรุกล้ำอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ถูกบั่นทอน และไม่ถูกกัดเซาะในหลายรูปแบบ ดังนั้น คนที่คิดแก้ไขกฎหมายนี้ จึงถือว่ามีเจตนาไม่ดีต่อสถาบันกษัตริย์ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
“ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นแนวเขตให้ทุกคนรู้ ถ้าใครไม่เข้าไปทำลายรั้ว ไปทุบรั้ว หรือเข้าไปรื้อรั้ว คนเหล่านั้นก็ไม่มีความผิดอะไร รั้วก็ยังเป็นรั้ว ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แม้บางทีอาจเผลอไปยืนพิงรั้วแล้วรั้วเกิดพังหรือไปยืนบนรั้ว ก็ไม่ผิดอะไร เพราะขาดเจตนาพิเศษที่จะทำลายรั้วหรือละเมิดกฎหมายนี้ ที่สำคัญปัจจุบัน รั้วหรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นรั้วโปร่งๆ ทุกคนมองเห็นสถาบันกษัตริย์ได้ง่าย สัมผัสได้ ใกล้ชิดได้” นายคารม กล่าว
นายคารม กล่าวอีกว่า การจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมและพ่วงเอาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย จึงต้องคิดให้รอบคอบ เพราะเท่ากับไม่เปิดโอกาสให้คนที่ถูกกล่าวหา ได้ต่อสู้คดีและพิสูจน์ตัวเองว่าเขาไม่ได้มีเจตนากระทำผิดตามกฎหมายนี้ เพราะฉะนั้น การจะนำเอาผู้กล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา 112 ไปรวมในการนิรโทษกรรมด้วย จึงเป็นการนิรโทษแบบเหมาเข่ง และไม่น่าจะถูกต้อง เพราะไม่ได้แยกแยะ และอาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดความแตกแยกและความขัดแย้งรอบใหม่ รวมถึงอาจทำให้รัฐบาลไปเร็วกว่าที่คิด แทนที่รัฐบาลจะได้แก้ไขปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง