สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ว่าเจ้าหน้าที่จากรัฐเกรละเร่งดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสนิปาห์ หลังเด็กชายวัย 14 ปีเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว พร้อมดำเนินการระบุตัวผู้มีความเสี่ยงสูง 60 ราย
ไวรัสนิปาห์ ซึ่งมาจากค้างคาวผลไม้และสัตว์ต่าง ๆ เช่น หมู ส่งผลให้สมองบวมจนเป็นอันตรายถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) จึงจัดให้เป็นโรคที่มีความเร่งด่วน เนื่องจากมีศักยภาพในการแพร่ระบาด, ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และแนวทางการรักษาให้หายขาด
Kerala #Health Department confirms death of 14-year-old boy, who had succumbed to a #NipahVirus infection in #Malappuram, from consuming a #fruit from his #bat-infested neighbourhood
— Hindustan Times (@htTweets) July 22, 2024
Details ???? https://t.co/li36OIIb96#Nipah #HealthAndSafety pic.twitter.com/iC8makbbLX
“เด็กชายที่ติดเชื้อเสียชีวิตเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (21 ก.ค.) หลังจากหัวใจหยุดเต้น” นางวีนา จอร์จ รมว.สาธารณสุขรัฐเกรละ กล่าว โดยก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว เธอให้ข้อมูลว่า รัฐบาลท้องถิ่นมีคำสั่งจัดตั้งคณะกรรมการ 25 ชุด เพื่อระบุและจำแนกผู้ติดเชื้อแล้ว
นพ.อนุป กุมาร์ ผอ.ฝ่ายเวชศาสตร์วิกฤติ โรงพยาบาลเอสเตอร์ มิมส์ ที่เมืองกาลิกัต รัฐเกรละ กล่าวว่า ผู้ป่วยเป็นเด็กนักเรียน และผู้คนที่สัมผัสกับเขากำลังถูกสังเกตอาการ “โอกาสที่ไวรัสนิปาห์จะระบาดอยู่ในระดับต่ำ” เขากล่าว พร้อมย้ำว่าจะมีการจับตาสถานการณ์ต่อไปอีก 7-10 วันข้างหน้า
รายงานระบุว่า ขณะนี้มี 214 คนในรายชื่อผู้สัมผัสใกล้ชิดกับเด็กชาย และ 60 คนมีความเสี่ยงสูง จึงต้องจัดตั้งแผนกแยกโรคในสถาบันสุขภาพเพื่อรักษาผู้ป่วย ขณะที่สมาชิกในครอบครัวถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลท้องถิ่นเพื่อสังเกตอาการ หลังพบผู้ป่วยไวรัสนิปาห์ในเมืองมาลาปุรัม เมืองที่อยู่ห่างจากเมืองธีรุวานันทปุรัม เมืองเอกของรัฐเกรละ ประมาณ 350 กิโลเมตร ส่วนผู้อื่นอาจที่มีความเสี่ยงถูกขอให้กักตัวอยู่ในบ้าน
รัฐบาลท้องถิ่นของรัฐเกรละชี้แจงว่า กำลังดำเนินการติดตามผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส เนื่องจากไวรัสดังกล่าวเคยคร่าชีวิตผู้คนหลายสิบคน นับตั้งแต่ถูกตรวจพบในรัฐเกรละ เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 อนึ่ง ไวรัสนิปาห์ถูกตรวจพบครั้งแรกเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ในมาเลเซีย ก่อนจะนำไปสู่การระบาดในบังกลาเทศ, อินเดีย และสิงคโปร์.
เครดิตภาพ : AFP