เมื่อวันที่ 20 ต.ค. พ.ต.ท.ภูสิทธิ์ ชาญศรี สว.(สอบสวน) สภ.หนองแค จ.สระบุรี รับแจ้งจากโรงพยาบาลหนองแค ว่า มีเด็กชายถูกทำร้ายร่างกายมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาล จึงรีบไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.สถิตย์ สังข์ประไพ ผกก.สภ.หนองแค เมื่อไปถึงพบร่างของ ด.ช.เอ (นามสมมุติ) อายุ 8 ขวบ นักเรียนชั้น ป.2 โรงเรียนในจังหวัดสระบุรี มีร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายจนบอบช้ำทั่วตัว ที่ข้อมือมีรอยรัดจนเขียวคล้ำ จึงถ่ายภาพจดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ก่อนมอบศพให้มูลนิธินำส่ง รพ.มศว จ.นครนายก เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการณ์ตายโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.สถิตย์ ได้รีบนำกำลังฝ่ายสืบสวนไปตรวจสอบยังบ้านที่เกิดเหตุ ในพื้นที่เขตเทศบาล ต.หนองแค พบหลักฐาน สายรัด (เคเบิลไทน์) ถูกตัดขาด 1 เส้น ขวดใส่ปัสสาวะ 1 ขวด ถูกทิ้งอยู่ภายในบ้าน ส่วนหลักฐานอื่นๆ ไม่พบแต่อย่างใด จากนั้นได้คุมตัว นางบี (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี แม่ของเด็กไปสอบสวนยัง สภ.หนองแค

ต่อมา พ.ต.อ.สถิตย์ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนพยานแวดล้อมต่าง ๆ ทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นายวิรัช แซ่เฮ้ง อายุ 37 ปี เป็นชาว ต.สทิงหม้อ อ.สิงหนคร จ.สงขลา มากินอยู่กับ นางบี ขณะไปทำงานที่ จ.ภูเก็ต จนกระทั่งย้ายกลับมาอยู่ที่ จ.สระบุรี โดยฝ่ายนายวิรัช ทำงานเป็นช่างในอู่ต่อถังรถยนต์แห่งหนึ่งใน อ.หนองแค มาเช่าบ้านเมื่อปี 63 โดยเมื่อ 2 เดือนก่อน ได้รับภรรยาและลูกติดภรรยา คือ ด.ช.เอ ผู้ตาย และพี่สาวอายุ 16 ปี มาอยู่ด้วยกันในบ้านเช่า

จนกระทั่งค่ำวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา นายวิรัช ดื่มเหล้าจนเมาจากนั้นก็จับ ด.ช.เอ มัดด้วยเคเบิลไทน์และโยงด้วยสายไฟไว้กับขื่อบ้าน ก่อนจะเฆี่ยนตีด้วยสายไฟจนเนื้อตัวแตก พอเด็กสลบก็ไม่ยอมปล่อยจากพันธนาการ โดยตัวเองเข้าไปหลับนอนจนตื่นมาตอนเที่ยงคืน มองเห็นลูกเลี้ยงยืนหลับคาขื่อด้วยอาการบาดเจ็บก็ยังไม่ยอมให้การช่วยเหลือ กลับนำขวดใส่น้ำปัสสาวะของเด็ก จับกรอกปากลูกเลี้ยง จากนั้นก็ใช้เท้าเตะซ้ำตามร่างกายจนแน่นิ่ง พอปลุกไม่ตื่นจึงแก้มัดให้ก่อนเรียกภรรยามาดูอาการและพาส่ง รพ. แพทย์พยายามช่วยเหลือปั๊มหัวใจอยู่นาน แต่สุดท้ายไม่เป็นผลเด็กเสียชีวิตนานแล้ว จังหวะนั้น นายวิรัช ได้ขี่ จยย.ฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ หมายเลขทะเบียน 1 กท.6812 สระบุรี รีบกลับบ้านเก็บเสื้อผ้าหลบหนีไปทันที

ด้าน นางบี ให้การอ้างว่า เหตุที่สามีทำร้ายลูกบ่อยครั้งเพราะลูกไม่ยอมอ่านหนังสือ ที่ไม่ห้ามเพราะกลัวจะโดนทำร้ายไปด้วย แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ เตรียมเรียกพยานเพื่อนบ้านมาสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งหากพบว่า ฝ่ายแม่มีพฤติการณ์เห็นพ้องกับสามีด้วย ก็จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน.