เรียกได้ว่าเป็นประเด็นร้องแรงอยู่พักนึงเลยก็ว่าได้ จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ อดีตนางเอกดัง “หน่อย บุษกร” ภรรยาสุดที่รักของพระเอกดัง ”เคน ธีรเดช“ ที่ได้ออกมาเปิดใจว่ามีคนในวงการบันเทิงได้ยืมเงินไปนานนับปีแต่ไม่ยอมคืนเสียที จนทำให้หลายคนสงสัยว่าบุคคลปริศนาคนนั้นเป็นใคร หลายคนแห่สงสัยกันเป็นอย่างมากนั้น
ล่าสุดในงาน “HEART OF GIVING IN FULL BLOOM” สุขแห่งการให้ สานหัวใจแบ่งปัน ดั่งดอกไม้บาน หน่อย บุษกร ก็ได้เปิดใจหลังได้รับเงินคืน รวมถึงเล่าเรื่องราวของลูกชายสุดที่รัก ”น้องคุน คุนนธรรม“ และ ”น้องจุน ธิปไตย” หลังจากมีภาพได้ร่วมเดินแบบครั้งแรก จึงดูเหมือนว่าจะแววเตรียมเข้าวงการบันเทิงตามรอยพ่อแม่ โดยหน่อยได้เล่าว่า
“เรื่องที่ลูกชายทั้งคู่ไปเดินแบบครั้งแรก น้องคุณก็จะมีความเขิน แต่น้องจุนดูเหมือนว่าเขาจะชอบ เขาบอกสนุกดี ถ้าได้เงินเขาก็ทำ คอนเซปต์เดิม เงินมางานไป เราก็โอเคก็ดี เขาจะได้ทำงาน แล้วคนเล็ก(น้องจุน) ก็มีคนมาติดต่อให้เขาไปเล่นหนัง ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่ายังไง แต่เราก็ไม่เกร็งนะที่ลูกๆจะมาทำงานในวงการบันเทิง ตอนแรกก็รู้สึกเหมือนกันว่า จะยังไง ตอนเด็กๆเราก็เป็นห่วง ตอนนี้เขาโตแล้วมีความรับผิดชอบแล้ว คนเล็กอายุ14แล้ว คนโต16แล้ว เราก็ถามเขาว่าอยากทำหรือเปล่า ถ้าเกิดอยากทำก็ไปทำ แต่ถ้าไม่อยากทำก็ไม่บังคับ ก็ไม่ต้องไปทำ แล้วเขาก็ไปแคสตามบาทด้วยนะ ถามว่าเร็วไปไหม ก็อยู่ที่ว่าถ้าบทมันเยอะมันหนัก หรือเป็นอะไรที่เกินตัวเขามาก แบบนั้นเราก็อาจจะคิดว่ามันเร็วไป มันยังไม่ถูกปรับบทบาท ถูกเวลา ถูกสถานที่ แต่ถ้าดูแล้วบทมันใกล้เคียงกับวัยเขา เหมือนเราก็ดูให้ว่ามันเป็นเรื่องบทแบบนี้ ก็โอเค อยู่ที่ลูก แต่ว่ามันก็ต้องไปลองแคสดู ไปลองเล่นดู ถ้าแบบเล่นได้ก็ได้เล่น ในส่วนความเป็นลูกของเคน ธีเดช หรือ หน่อย บุษกร จะไม่ได้ทำให้ได้ผลงานต่างๆ พี่พยายามบอกเขานะว่า มันไม่เกี่ยวนะ เขาไม่ได้เลือกที่เป็นลูกของพ่อแม่ แต่เขาเห็นว่า เขาเห็นเราเดินแบบ มันก็อาจจะเป็นเหมือนช่องทางให้เขาเห็น เขาก็อาจจะดูว่าคาแร็กเตอร์มันอาจจะเหมาะกับบทละครตัวนี้ในหนังเรื่องนี้ เขาก็เลยเรียกไป ถามว่าเขากังวลไหม ที่ต้องมาทำงานและพ่อแม่ก็เป็นดาราดัง ก็ไม่นะ เขาไม่เคยรู้สึกว่าพวกเราเป็นดาราเลย เราเหมือนเป็นคุณแม่ท่านหนึ่ง แม่บ้านอยู่ในครัว ทำกับข้าว และเป็นติ๊กตอกเกอร์ท่านหนึ่งคอยถ่ายคลิปให้เขา พอเขาจะเจ้าก้าวสู้การทำงานวงการบันเทิงเราก็แนะนำลูก เขาต้องเคยเห็นเราทำงานอย่างไรตั้งแต่เด็ก เพราะเราเคยพาไปกอง เราก็จะบอกว่า มันไม่ได้ง่าย มันไม่ได้สวยหรู มันไม่ได้สบาย มันต้องอดทนนะ เราก็บอกเขาหมด คนเล็กโอเค แต่คนโต(น้องคุณ)เหมือนชอบเบื้องหลังมากกว่า เขาชอบทำหนังสั้น ชอบทำส่งประกวด ถามว่าเราเป็นผู้จัดการให้น้องจุน มันก็ไม่เชิงผู้จัดการหรอก เพราะไม่ได้หักเงิน (หัวเราะ) ก็คือไม่ได้เป็นผู้จัดการโดยตรงแค่แบบถ้าเขาได้งานได้เงินเขาก็รับไป ส่วนเรื่องการทำงานของลูกพี่เคนก็บอกว่า ถ้าเขาอยากทำก็ปล่อยเขาไปเถอะ เขาโตแล้ว แล้วเขาเหมือนเป็นเด็กผู้ชาย ก็ให้เขาไปเรียนรู้
คำพูดตอนที่เขาทำงานแล้วได้เงินก้อนแรก เขาก็ดีใจ เขาบอกว่า เมื่อไหร่เขาจะเปิดบัญชีได้ อยากมีบัญชีเป็นของตัวเอง เราก็บอกว่าถ้างั้นรับผิดชอบนะ ถ้ามีบัญชีเป็นของตัวเองก็จะต้องหาเงินเองนะ ลูกได้มาเท่านี้ลูกใช้เท่านี้ ลูกก็ต้องดูเองว่า ได้มารับไปจะขาดทุนหรืออะไร ก็ต้องจัดการเอง เพื่อให้เขาได้รู้ว่าเงินมันมีค่านะ ลูกจะทำงานได้เงินมาก็จะต้องเก็บ ก็ให้เขาดูแลตัวเอง หลายคนบอกว่าน้องจุนนิสัยเหมือนเราแต่หน้าตาเหมือนพ่อ แต่คนโตหน้าเหมือนเราแต่นิสัยเหมือนพ่อ คนโตอินโทรเวิล์ดสุดๆ อยู่บ้านชอบนั่งมองนก นั่งอ่านหนังสือ บางทีเรากลับบ้านเห็นลูกนั่งสมาธิใต้ต้นบ้าน ตัดภาพมาที่คนเล็กคืออยู่ไม่เฉย อยู่กับโซเชียลทั้งวัน เราพูดกับลูกว่า นี่จุนมือ2มือเธอนี่ 3 เครื่องเลยนะ และตัวเล็กก็จะเหมือนพี่ ถ้าเพื่อนชวนไปดูหนังหรือกินข้าวเขาจะไป แต่ถ้าพี่คุณจะไปเที่ยวกับเพื่อน4คน ถ้าเกิน4จะไม่ไป เพราะรู้สึกวุ่นวาย คือนิสัยพ่อเขาเลย มีหลายคนที่คนแซวว่าเป็นแม่บ้านตามถ่ายคลิป (หัวเราะ) บางคนบอกว่าพี่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยง 3 คน ก็เออใช่เนอะ คนโตพ่อเนี่ยซนกว่าอีก พูดก็ไม่ฟัง นางก็ตัวเองเป็นศูนย์กลาง (หัวเราะ) บางทีก็ท้อนะ อะไรก็ได้แล้วแต่ทำกันเลยเดี๋ยวแม่ตามไป แล้วนางก็บอกทำไมแม่ต้องงอนด้วย ก็บอกไม่ได้งอนนี่พูดเรื่องจริง คือไม่รู้จะเอ่ยอะไรแล้ว ไม่รู้จะความคิดเห็นอะไรแล้ว เพราะก็ไม่มีใครตามอยู่ดี เพราะฉะนั้นไปตกลงกันมาเลยจ้าเราเป็นผู้ตาม
สำหรับเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่เราออกมาบอกว่าคนในวงการยืมเงินตอนนี้ได้คืนแล้ว หลังจากที่เป็นข่าว พี่ได้แล้ว พี่ต้องบอกว่าแบบ เราก็มีลูกอ่ะเนาะ ลูกเราก็เรียนหนังสือเหมือนกัน โรงเรียนไม่ได้เรียนฟรีก็ต้องเสียเงินอะไรแบบนี้ พอได้พี่ก็ไปไหว้พระเลยค่ะก่อนหน้านี้ไปขอพระมานิดนึง เขาติดเรานานก็ปีนึงนะ ก็เกือบปี จากสองอาทิตย์ก็เริ่มเขยิบไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีดอก ไม่ได้มีอะไร เขาคืนมาก็ดีแล้ว ถามว่าได้คืนก่อนคนอื่นหรือเปล่า ก็ไม่ๆ ไล่ๆ กันมา ถ้าหลังจากนี้มีคนมาขอยืมเงินอีกก็พูดเลยค่ะว่าไม่มีให้แล้วค่ะ คือเมื่อก่อนเราก็ตกใจเนอะ เราก็รู้แล้วแหละว่าสุดท้ายแล้วเราคนทวงเกรงใจไง แล้วเราเป็นคนขี้เกรงใจด้วย เราก็สงสารเขาหรือเขาไม่มีจริงๆ แต่เราก็มานั่งคิดว่าเราจะทำยังไงในวันนี้เราก็ไม่มีเหมือนกันนะ เราก็ไม่ได้มีงานนะ ไม่ได้ทำงานมากี่ปีแล้ว ก็มานั่งทบทวน ลูกเราก็ต้องเรียนหนังสือเอาเงินก้อนนี้ไปให้ลูกเรายังดีกว่าอีก มันก็ย้อนกลับมันก็เลยเครียดเองคิดวนๆ อยู่อย่างนี้ พี่เครียดเลยนะ บางทีเราเครียดโดยไม่รู้ตัว มันก็เป็นช่วงวิตกว่าเอ๊ะ ยังไง คือเราไม่กล้าทวง เราเกรงใจ เวลาทวงก็นะคะ ทุกคนก็บอกแหมทวงแบบนี้จะได้ได้ยังไง ซึ่งช่วงที่เราจิตตกสามีเราก็แบบว่าได้แต่พยักหน้า ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน เรียกว่าเข็ดไปเลยไม่กล้าให้ใครยืมอีกแล้ว ถ้าให้ยืมให้ไปเลยดีกว่าให้ไปก้อนนึงเลยก้อนเล็กๆ ว่ากันไปช่วยไปเลยดีกว่า แต่ไม่ต้องให้ก้อนใหญ่ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีให้แล้วค่ะ พูดเลยค่ะ ส่วนเรามองว่าการให้ยืมเงินก็เหมือนตัดเพื่อนเหมือนกันไหม จริงๆๆ ถ้าเขาใช้คืนมันก็โอเค แต่ถ้าเผื่อไม่คืนมันก็เสียเพื่อนนะความสัมพันธ์ เสียความรู้สึกนะ ถามว่าตอนเขามายืมเขาให้เหตุผลเราว่ายังไง อย่าพูดเลย เขาคืนมาแล้วช่างเถอะก็จบแล้ว ก็เป็นเหตุผลที่เรารู้สึกว่าเห็นใจ เอาเป็นว่าเป็นเหตุผลที่เรารู้สึกเห็นใจค่ะ ซึ่งความสัมพันธ์ตอนนี้ยังเหมือนเดิมไหมไม่รู้ แต่ไม่ได้คุยกันแล้ว ปกติก็ไม่ได้คุยอยู่แล้วไง ไม่ได้เป็นคนสนิท แค่เป็นรุ่นพี่ท่านหนึ่ง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก noibud