จุง เป็นหนึ่งในคนทำงานเจนแซดจำนวนมาก ที่ขับเคลื่อนเทรนด์การใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ อี-ไบค์ ในประเทศที่มีมอเตอร์ไซค์มากถึง 77 ล้านคัน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง

แม้ในตอนนี้ ชาวเวียดนามสามารถซื้อจักรยานยนต์ไฟฟ้าในราคาถูกเพียง 500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,000 บาท) แต่ปัญหาต่าง ๆ ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การเสียเวลาหลายชั่วโมงที่สถานีชาร์จรถไฟฟ้า และผู้คนพบว่าการแก้นิสัยเดิมของพวกเขาเป็น
เรื่องยาก

อนึ่ง “ไอคิวแอร์” (IQAir) บริษัทเทคโนโลยีคุณภาพอากาศของสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า กรุงฮานอย ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับเมืองหลวงมีมลพิษมากที่สุดในโลก เมื่อปี 2566 และมีอากาศในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้าที่ “ไม่ดีต่อสุขภาพ” ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้จุง เกลียดการขับขี่ในกรุงฮานอยมานานแล้ว

ทางการกรุงฮานอย ระบุเมื่อปีที่แล้วว่า หมอกควันพิษที่ปกคลุมเมืองหลวงเกือบทั้งปี มากกว่า 2 ใน 3 มาจากยานพาหนะที่ใช้น้ำมัน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐเวียดนาม สั่งให้จักรยานยนต์ทั่วประเทศ ต้องเป็นอี-ไบค์ ในสัดส่วน 25% ภายในปี 2573 เพื่อช่วยต่อสู้กับวิกฤติทางอากาศ

ด้าน นายเจือง ธี มี ทัญ นักวิเคราะห์ด้านการขนส่ง กล่าวว่า การที่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามีราคาถูกและต้นทุนการใช้งานต่ำ ช่วยดึงดูดกลุ่มนักศึกษา ซึ่งคิดเป็น 80% ของผู้ใช้อี-ไบค์ ในเวียดนาม แต่สำหรับผู้ขับขี่ที่มีอายุมากกว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะเลิกทำในสิ่งที่พวกเขารู้อยู่แล้ว

ผู้ใหญ่ชาวเวียดนามบางคนกล่าวว่า พวกเขาใช้จักรยานยนต์แบบทั่วไปมานานกว่า 20 ปี และไม่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนมาขี่อี-ไบค์ แม้พวกเขารู้ว่ามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยประหยัดน้ำมันได้ก็ตาม เนื่องจากพวกเขาคุ้นเคย และมองว่าจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ใช้งานได้สะดวกมากกว่า

แม้อี-ไบค์ ส่วนใหญ่สามารถชาร์จไฟฟ้าที่บ้านได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ชาวเวียดนามบางคนยังคงหวาดกลัวในเรื่องความปลอดภัย หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ในกรุงฮานอยเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งตำรวจเวียดนามสรุปว่า สาเหตุที่เป็นไปได้นั้นเกิดจากการ
ชาร์จแบตเตอรี่

ขณะที่ “เซเล็กซ์” (Selex) ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพในเวียดนามที่ผลิตจักรยานยนต์ไฟฟ้าและชุดแบตเตอรี่ บุกเบิกแนวทางแก้ไขปัญหาข้างต้นอย่างรวดเร็ว โดยตั้งสถานีที่ผู้ขับขี่อี-ไบค์ สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่หมด เป็นแบตเตอรี่ก้อนใหม่ได้ทันที

ทั้งนี้ ทัญ เน้นย้ำว่า รัฐบาลฮานอย ต้องนำระบบขนส่งสาธารณะมาใช้ร่วมกับยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) หากต้องการแก้ปัญหาการจราจรติดขัดบนท้องถนน ซึ่งถ้าการเปลี่ยนมาใช้อีวี ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในกรุงฮานอยได้ทั้งหมด จำนวนเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ก็ถือเป็น “แสงแห่งความหวัง”.