กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทำเอาแฟนคลับเป็นห่วงไม่น้อยเลย สำหรับ “ชาล็อต ออสติน” หลังจากถูกมิจฉาชีพหลอกเงินไป 4 ล้านบาท พร้อมบังคับให้วิดีโอคอล 24 ชั่วโมง งานนี้ทำเอาหลายคนรีบส่งกำลังใจให้เธอกันอย่างล้นหลาม ซึ่งทางด้านเพจ Miss Grand Thailand อัปเดตว่าปัจจุบันชาล็อตปลอดภัยแล้ว และได้ดำเนินการแจ้งความลงบันทึกประจำวันเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากชาล็อตกำลังอยู่ในช่วงที่จิตใจอ่อนไหว ขอความกรุณาใช้ถ้อยคำที่สุภาพ หลีกเลี่ยงการแสดงความเห็นที่อาจซ้ำเติมหรือกระทบจิตใจ ตามที่ข่าวได้เคยนำเสนอไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (10 ธ.ค. 67) ณ ห้องรับรอง ชั้น 1 ออฟฟิศ MGI หน้าทางเข้า ทาวน์ อิน ทาวน์ ซอย 11 บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) ได้จัดโต๊ะแถลงข่าวประเด็น ชาล็อต ออสติน ถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน 4,000,000 บาท พร้อมแฉวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ รวมถึงข้อซักถามที่สังคมสงสัยในหลายประเด็นว่าโดนยังไง ทําไมถึงยอมโอน อีกทั้งความคืบหน้าทางคดี
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ ด้านณวัฒน์ได้เปิดคลิปเสียงตอนที่ชาล็อตได้พูดคุยกับทางมิจฉาชีพ เป็นผู้ชายเสียงดุๆ หน่อย โดยพยายามพูดว่า “ผมช่วยได้เท่าที่ผมจะช่วย หากโอนเงินเข้ามา” ซึ่งวิดีโอดังกล่าวนี้มีการสั่งว่า ห้ามวาง ต่อให้ และประกอบด้วยเสียง ชาล็อตร้องไห้เบาๆ นอกจากนี้ยังมีการส่งต่อให้อีกคนคุย และมีการส่งต่อให้บุคคลที่ 2 คุย ซึ่งทั้งสองคนใส่ชุดยูนิฟอร์มเต็มชุดเหมือนกัน จนต่อมาด้านณวัฒน์ได้บอกว่า คลิปดังกล่าวได้มีการพิสูจน์แล้วเป็นว่า AI
ณวัฒน์ ได้เผยถึงจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า “เหตุเกิด 5 โมงในรถ ช่วง 2 ทุ่ม เริ่มโอน 2 ล้าน และมิจฉาชีพก็รู้งาน มีการรอให้พ้นไปอีกวัน เพื่อที่จะทำการโอนใหม่ และพยายามบอกให้เปิดวิดีโอคอลมาราธอน จนตีสาม น้องรอไม่ไหวก็หลับไป สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะด้วยภาวะที่น้องตกใจ และพื้นฐานน้องเป็นแพนิค ความกลัวเลยนำมาซึ่งความเชื่อ และความตกใจ ซึ่งผมเองก็ตกใจว่า ทำไมถึงว่าไปไกลขนาดนั้น เราบอกให้เขาวาง ก็วางไม่ได้ เราก็สั่งให้ถอดซิม บอกให้ตั้งสติ เงินไม่มีทางกลับ เพราะแก๊งพวกนี้อยู่นอกประเทศ และให้ส่งคลิปไปเช็กกับเจ้าหน้าที่ และทราบว่าเป็นเอไอจริงๆ เป็นความแนบเนียบครบวงจร หลักๆ ที่น้องเขายอมทำตาม เพราะเขากลัวว่า ใครจะแอบอ้าง หรือซ้อนแผนใช้ชื่อ เลยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โชคดีของมิจที่คอนโทรลง่าย และเป็นความโชคร้ายของชาล็อต ส่วนสาเหตุที่ออกมาแถลงข่าว เพราะอยากให้เป็นอุทาหรณ์ การได้เงินคืนเป็นได้ยากมา เจ้าของไม่ใช่คนไทย แต่บังคับลูกจ้างคนไทยทำ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน และบอกลูกน้องตลอด แต่บอกเลยว่า ข้าราชการ ตำรวจ ไม่มีการทำงานด้วยระบบออนไลน์อย่างแน่นอน ใครได้ฟัง อยากจะย้ำว่า เป็นการหลอกลวง ถ้าผิดจริงไปโรงพัก ไปศาล ดีกว่ามาพิพากษาบนโลกออนไลน์”
ณวัฒน์ เผยต่อว่า “สำหรับเบอร์มิจฉาชีพที่มีการโทรฯ เข้ามา คือ +698907081036 และ 0992732357 ชื่อ สันติ พนักงาน DSI และเราก็บอกชาล็อตหลังจากเกิดเรื่องว่า มันยากที่จะได้เงิน 4 ล้านคืน ให้หาเงินใหม่ สำหรับเรื่องที่ชาล็อตจะเป็นเปลี่ยนเบอร์ ที่จริงผมแนะนำไม่ให้เปลี่ยน เพราะเขาจะแรนดอมใช้เบอร์ และเขาจะไม่โทรฯ มาหลอกเบอร์เดิม เลยแนะนำให้เปลี่ยนแค่ไลน์ เพราะฝั่งเขาก็ทิ้งซิมแล้ว ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้ ผมไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง เพราะบางคนโดนหนัก หมดตัว ฆ่าตัวตาย ถ้าหน่วยงานราชการยังเห็นว่าเป็นเรื่องของคนมีเงินที่โดนหลอก เพราะเราเสียภาษีไปเยอะ มันควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ เช่น ที่จีน เขาจับได้ นำไปประหารหมด ผมว่าควรใช้มาตรการรุนแรง ไม่ใช่ว่าโดนคดีไม่กี่ปี เพื่อที่จะทำให้คนไทยไม่ไปรับจ้าง ต้องโดนอะไรที่หนักมาก ต้องเพิ่มโทษ ถ้ายังอ่อนแอ เขาก็รู้ว่า จะเสี่ยงต่อ ตอนนี้มีโปรแกรมพิเศษ Whoscall ที่ทำให้รู้ว่าเป็นเบอร์มิจฉาชีพ”

ด้านชาล็อตได้อธิบายและชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “คือเราไม่ได้มีการปิดวิดีโอค่ะ มีการชาร์จแบตทิ้งไว้ แม้จะเผลอหลับไป และเลขาฯได้มีการหาข้อมูล และยังไม่ได้มีการวาง เพราะยังไม่ได้มีการอัดหน้าจอไว้เป็นหลักฐาน จนช่วงเช้ามารู้ว่า โดนหลอก เลยขอให้เปิดกล้อง แต่ก็โดนข่มขู่ว่า จะโดนคดีเพิ่มอีก ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เอะใจ เพราะมีเอกสารส่งมา มีหมายจับจริงๆ นะ มีการส่งหมายยุติ จากผู้ต้องหา เป็นผู้เสียหาย ทำให้เราเชื่อว่า เป็นข้อมูลจากทางรัฐ เพราะมีข้อมูลลึกยันบัญชีธนาคาร ในทำนองว่า ข้อมูลของเรารั่วไหล จนกลายเป็นผู้ต้องหา ซึ่งเรื่องนี้มีการแจ้งความแล้วค่ะ เมื่อ 8 ธ.ค. เวลาตีสี่กว่าๆ ที่ สน.สุทธิสาร ซึ่งตอนที่โอนไม่ได้เอะใจจริงๆ เพราะบอกว่า เป็นการตรวจสอบของรัฐ วิดีโอที่เก็บเป็นหลักฐานเป็นช่วงเช้าที่มีการโทรฯ กลับ เขาบอกว่า ให้เปิดกล้อง เพื่อถ่ายเป็นหลักฐานรูปลักษณ์หน้าตา ซึ่งสายแรกอยู่คนเดียวตลอด และข่มขู่ว่า ถ้าคนอื่นรู้จะมาจับกุมตัว สำหรับหลักฐานที่ถ่ายไว้ ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจค่ะ
ตอนที่เราคุยกับทางด้านมิจฉาชีพ เขาบอกว่า เราเป็นผู้ต้องหา โดยนายศรัทธา มีการซื้อสมุดบัญชีต่อ 5 หมื่นบาท ซึ่งเราไม่รู้จัก และอยากทราบว่า เราเกี่ยวพันกันได้อย่างไร เพราะเราไม่เคยขายบัญชี และตอนนั้นอยากตรวจสอบว่า เงินของเราบริสุทธิ์ เราเข้าใจว่า เป็นหน่วยงานของรัฐจริงๆ สาเหตุที่หลงเชื่ออาจเป็นเพราะความกลัวที่เราอยู่คนเดียว และมีการโชว์หมายจับด้วย ทำให้เราเกรงว่า จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะต่อให้ไม่เป็นความจริง สังคมก็ต้องมองว่า มีส่วนเกี่ยวข้อง เลยยอมให้ความร่วมมือ ยอมรับว่า คุยไปร้องไห้ไป และคิดว่าเราจะได้เงินคืน หากเราโอนไป แล้วเขามีการประชุมทีละยอดๆ เลยรออยู่ รู้ว่ามีมิจ แต่ไม่ได้รู้ว่ามาในรูปแบบนี้ เพราะปกติไม่รับเบอร์แปลก ซึ่งตอนนี้เราก็ยังรู้สึกช็อกที่เงินหายไปเยอะ ได้แต่ใจเย็น และมีสติในการหาเงินใหม่ และตอนนี้ไม่ค่อยรับเบอร์ใหม่แล้ว พยายามไม่อยู่คนเดียว ให้มีเพื่อนอยู่ด้วย และรับโทรศัพท์แทน”

