จากสถานการณ์น้ำท่วมแปลงปลูกพืชของเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด และในบางพื้นที่ท่วมเป็นเวลาหลายวัน สร้างความเสียหายแก่ต้นพืชหลายด้าน ทั้งทำให้รากพืชขาดอากาศ (ออกซิเจน) และการดูดซับธาตุอาหารของพืชน้อยลงส่งผลให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต หน้าดินเกิดการชะล้างทำให้รากพืชเกิดแผลหรือฉีกขาดทำให้เชื้อโรคพืชเข้าสู่รากพืชได้มากขึ้น

จุลินทรีย์ต่างๆ รวมทั้งกลุ่มเชื้อโรคพืชเจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณได้มากขึ้น ซึ่งผลเหล่านี้สร้างความเสียหายแก่ต้นพืชทั้งชะงักการเจริญเติบโตและเกิดโรคพืชมากขึ้น โดยเฉพาะพืชที่ไม่ทนต่อสภาวะน้ำท่วมขัง เช่น ทุเรียน ถ้าน้ำท่วมขังมากกว่า 3 วัน จะเริ่มแสดงอาการใบสลดอย่างเห็นได้ชัด ส่วนพืชตระกูลส้ม (ส้มโอทับทิมสยาม) มังคุด ปาล์มน้ำมัน และยางพารา จะแสดงอาการช้ากว่า เป็นต้น

รองศาสตราจารย์ ดร.วาริน อินทนา นักวิจัยทางด้านโรคพืชในฐานะหัวหน้าศูนย์ผลิตและบริการชีวินทรีย์เกษตร ม.วลัยลักษณ์ กล่าวว่า หากน้ำท่วมขังเป็นเวลานานจะยิ่งส่งผลเสียต่อพืช จึงแนะนำให้เกษตรกรเร่งปฏิบัติดังนี้ 1. เร่งการระบายน้ำออกจากพื้นที่แปลงปลูกพืช เพื่อให้รากพืชได้รับอากาศเร็วที่สุด รากพืชจะได้ฟื้นตัวและดูดซับธาตุอาหารได้เร็วขึ้น 2. หากไม่จำเป็นอย่านำเครื่องจักรกลหนักเข้าพื้นที่ เพราะจะทำให้โครงสร้างดินแน่นขึ้น อากาศแทรกในดินได้ยากขึ้นและรากพืชฉีกขาดเสียหายมากยิ่งขึ้น 3. ช่วงสัปดาห์แรกหลังน้ำลดอย่าเร่งใส่ปุ๋ยที่มีความเค็มสูง เพราะจะทำให้รากพืชเน่าเปื่อย โดยเฉพาะรากพืชที่เกิดแผลจากสภาวะน้ำท่วมขัง 4. เมื่อดินแห้งปกติให้พ่นชีวภัณฑ์เชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ (เชื้อจุลินทรีย์ดี) เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา เมตาไรเซียม บิวเวอร์เรีย หรือแบคทีเรียบาซิลลัส เพื่อช่วยลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์โรคพืชและแมลงศัตรูพืช ทำให้ลดความเสียหายของต้นพืชได้ อีกทั้งเชื้อจุลินทรีย์ดียังช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นพืชได้ด้วย และ 5. เมื่อดินแห้งปกติหากต้นพืชโทรมเพราะรากดูดซับธาตุอาหารได้น้อยลง ให้พ่นฮอร์โมนทางใบแก่ต้นพืช ซึ่งอาจพ่นผสมกับเชื้อจุลินทรีย์ดีได้

อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรท่านใดมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ผลิตและบริการชีวินทรีย์เกษตร ม.วลัยลักษณ์ ทั้งทางเพจ: ศูนย์ชีวินทรีย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์/ไตรโคเดอร์มา ม.วลัยลักษณ์ ทางไลน์: tcruwu หรือโทร. 092-3293569/075-677200