การมองผู้เสพเป็นผู้ป่วยคือ หนึ่งตัวอย่างการปรับเข็มทิศที่หลายคนคาดหวังว่าสภาพปัญหาที่เกิดจากผู้เสพที่มีอาการจิตเวชร่วมด้วยจะดีขึ้น

ทีมข่าวอาชญากรรม” ถือโอกาสสิ้นปีเก่า ก้าวสู่ปีใหม่ ทบทวนการบ้านกับ พล...ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. สะท้อนภาพรวมการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู ผู้ติดหรือผู้ใช้ยาเสพติดว่า ป.ป.ส.มีหน้าที่รายงานและติดตามประเมินผล ส่วนมิติบำบัดเป็นการรับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ผ่านคณะกรรมการติดตาม เร่งรัด การดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด (ครส.) ที่ผ่านมากลไกแรกของงานบำบัดช่วงปลายปีงบ 66 มีนโยบาย Quick Win นำผู้เสพที่ไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมปกติได้เข้ารับการบำบัด 4,414 ราย

แม้มิตินำผู้เสพป่วยจิตเข้าบำบัดจะประสบความสำเร็จ แต่ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ระบุว่า การแพร่ระบาดก็ยังไม่ลด เพราะยังมีสถานการณ์คนคลั่งก่อเหตุทำร้ายคนใกล้ชิด ทำให้ช่วงนั้นต้องมุ่งแก้พื้นที่มีปัญหารุนแรงก่อน เป็นปฏิบัติการติดตามเร่งรัดการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด ระยะ 3 เดือน (1 มิ.ย.67-31 ส.ค.67) พื้นที่ 25 จังหวัดเร่งด่วน ในจังหวัดนำร่องทั้งหมด ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ภาพรวมปี 67 สามารถนำผู้ติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดกว่า 188,000 ราย ถือเป็นจำนวนที่มาก ซึ่งตามแนวทางสาธารณสุขแบ่งการบำบัดเป็น “ผู้ป่วยนอก” ใช้ระยะเวลาเฉลี่ย 4 เดือน หรือ 16 สัปดาห์ และ “ผู้ป่วยใน” คคลที่มีอาการสมองติดยา หรือเป็นผู้เสพติดที่มีอาการทางจิตเวชร่วมด้วย จนไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตในสังคมปกติได้ กลุ่มนี้ใช้เวลาเฉลี่ย 6 เดือน เป็นต้นไป

สำหรับ 188,000 ราย จากรายงานกระทรวงสาธารณสุขพบผู้ติดที่มีอาการร่วมทางจิตเวช หรืออาการสมองติดยา 24,000 ราย คิดเป็น 12% ถือว่าน้อยมาก ทางการแพทย์มองคนติดยาเป็นโรคอย่างหนึ่ง ไม่ได้มองเป็นผู้ป่วยจิตเวช เพราะมีการเสพต่อเนื่องจนระบบการทำงานของสมองถูกทำลาย จำเป็นต้องใช้เวลารักษา”

ในส่วนความร่วมมือมองว่าส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือดี แต่ไม่ได้ถึงขั้นเรียกว่า “สอบผ่าน” เพราะกลุ่มนี้คือคนที่สมัครใจเข้ารับการบำบัด แต่หากไม่สมัครใจการเสพยาปัจจุบันยังคงมีบทลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท หรือหากครอบครองเพื่อเสพเพียงเล็กน้อยก็ยังมีความผิด โทษจำคุก 2 ปี ปรับ 40,000 บาท ต้องเข้าสู่กระบวนการชั้นศาล

สำหรับข้อท้าทายตามที่สาธารณสุขรายงานเป็นข้อกังวลเรื่องการหวนกลับมา “เสพซ้ำ” ที่ยังมีอัตราสูงแม้บุคคลนั้นบำบัดหายแล้วก็ตาม อุปสรรคคือสภาพแวดล้อมรอบข้าง บุคคลใกล้ชิด อาทิ ญาติ ครอบครัว คู่ครอง ที่อาจไม่สมบูรณ์ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน หรือกรณีอยู่อาศัยตัวคนเดียวไม่มีงานทำ

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ มองว่า ตั้งแต่มีการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ (9 ธ.ค.64) จากนั้นยังไม่เห็นภาครัฐจริงจัง กระทั่งมีโครงการ Quick Win 25 จังหวัดเร่งด่วน เชื่อว่ากระบวนการนำผู้เสพเข้าบำบัด หรือการมองว่าผู้เสพเป็นผู้ป่วย ถือว่าประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้ว

ทั้งนี้ หลังจบ Quick Win พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ เผยว่า ในปี 68 รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดแก้ไขปัญหาผ่านศูนย์ปฏิบัติการติดตามเร่งรัดการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด (ศปก.ครส.) โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเข้ามามีส่วนร่วมจริงจัง พร้อมนำ “ธวัชบุรีโมเดล จ.ร้อยเอ็ด” กับ “ท่าวังผาโมเดล จ.น่าน” เป็นต้นแบบนำร่องใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อุทัยธานี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ สกลนคร นครพนม ระยอง นครศรีธรรมราช ตรัง และนราธิวาส

ธวัชบุรีโมเดล” กับ “ท่าวังผาโมเดล” จะใช้วิธีการ Re X-ray ค้นหาผู้เสพใน 10 จังหวัด ทั่วทุกอำเภอเข้าสู่กระบวนการบำบัด 100% โดยนำเด็กและเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 14 ปี จนถึงผู้ใหญ่อายุ 65 ปี ไปตรวจปัสสาวะ หากพบใช้สารเสพติด เจ้าหน้าที่จะแบ่งกลุ่มคัดกรองเป็นสีเขียว , สีเหลือง ,สีส้ม และสีแดง

สีเขียวและสีเหลือง เป็นกลุ่มบุคคลที่สามารถอยู่ในสังคมได้ เป็นผู้ใช้แต่ไม่ใช่ผู้ติดโดยใช้กระบวนการชุมชนบำบัด หรือที่เรียกว่าบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน (CBTx) หากเป็นสีส้ม หรือสีแดง จึงต้องเข้ากระบวนการบำบัดในสถานที่บำบัดแทน

ส่วนข้อสงสัยจำนวนแน่ชัดของผู้ติด หรือผู้ใช้ทั่วประเทศ เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบการแพร่ระบาด พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ชี้แจงว่า ตัวเลขของผู้ใช้จากทั่วประเทศต้องสูงขึ้นอยู่แล้ว เพราะเจ้าหน้าที่ปูพรมตรวจสอบทุกตารางนิ้ว หรือ Re X-ray ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก หากเห็นว่าสถิติผู้ใช้สูงไปถึง 180,000 แสนราย

นอกจากนี้ ให้ข้อมูลน่าสนใจเพิ่มเติมกรณีบำบัด “ไม่สำเร็จ” ว่าหน้างานเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุข แต่ที่มีโอกาสได้พูดคุยกับแพทย์ในจ.นครพนม ทราบรายละเอียดการเสพซ้ำมักกลับมาใช้ในรูปแบบที่รู้ปริมาณ มีการจำกัดปริมาณการใช้แก่ตัวเอง เป็นการเสพในปริมาณที่ทำให้ตนเองไม่มีอาการเพี้ยน เรียกว่า “ทักษะ EF” (Executive Functions) ทักษะการบริหารจัดการตนเองขั้นสูง

ทำให้แม้กลับมาเสพซ้ำ แต่ยังใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ ไม่ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือไปก่อความวุ่นวายแก่สังคม ชุมชน ทางการแพทย์มองเห็นวิวัฒนาการนี้ว่าเป็นการปรับตัวของผู้ใช้ สถานการณ์ลักษณะนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในต่างประเทศ”

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับยังมีสถานการณ์ผู้ใช้ซ้ำ “หน้าเดิม” กลับเข้าบำบัดบ่อยครั้ง ต้องให้เวลาหน่วยงานและความร่วมมือของคนในสังคม พร้อมแย้มแนวทางลดอันตรายจากยาเสพติด (Harm Reduction) ในประเทศไทยอาจเกิดขึ้นได้จริง เบื้องต้นมอบหมายให้ทีมแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการวิจัยทดลอง เพื่อหายาทดแทน “ยาบ้า”

ยาตัวนี้จะออกฤทธิ์คล้ายยาบ้า โดยไม่ใช่ยาเสพติด เพราะเสพแล้วไม่ติด ทำจากพืช และที่สำคัญ ไม่มีผลอันตรายต่อระบบประสาท สมอง รวมถึงร่างกายผู้ใช้ หากสามารถศึกษาวิจัยยาทดแทนสำเร็จ เชื่อว่าการแพร่ระบาดยาบ้า หรือการลักลอบลำเลียงจะลดลง ถือเป็นมิติก้าวกระโดดก้าวใหม่ของ ป.ป.ส. กลุ่มเป้าหมายแรกที่จะนำร่องทดลองใช้คือผู้ติดของ รพ.ธัญญารักษ์ขอนแก่น และ รพ.ธัญญารักษ์เชียงใหม่

แทนที่เขาจะต้องไปโหยหาการใช้สารเสพติดของจริง ก็มาใช้ยาทดแทนยาเสพติดแทน” พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ระบุ

การแก้ปัญหายาเสพติดไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ละประเทศ แต่ละพื้นที่ล้วนแตกต่างกันและยังต้องทดลอง ค้นหาวิธีการที่ได้ผลในแบบของตัวเอง.

ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน