หลังจากละทางโลกมุ่งสู่ทางธรรมเป็นครั้งที่สอง “แพท-ภฤศ บุญทองนุ่ม” หรือ “แพท-วรยศ บุญทองนุ่ม” นักร้องนำวงพาวเวอร์แพท ที่ได้เดินทางศึกษาธรรมถึงประเทศอินเดีย โดยหลังจากสึกมานั้น หนุ่มแพทได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการ คุยแซ่บShow เปิดใจถึงสาเหตุการบวชรอบสอง และเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะบวช โดยแพท เผยว่า
“ครั้งนี้เป็นการบวชครั้งที่ 2 ครั้งแรกคือตอนออกมาจากเรือนจำใหม่ๆ สัก 3-4 ปีที่แล้ว ครั้งนี้ตั้งใจบวชให้ตัวเอง เพราะปกติชีวิตประจำวันมีแต่มอบพลังบวกให้กับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การบรรยายสร้างแรงบันดาลใจ การดูแลครอบครัว ทุกอย่างมันใช้พลังเยอะมาก ครั้งนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เติมพลังบุญ พลังชีวิตให้กับตัวเอง เลือกบวชที่อินเดียได้รับการเชิญชวนจากสมเด็จพ่อ สมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ เพราะก่อนหน้านี้ที่ผมบวชครั้งแรก ผมบวชที่วัดเทพศิรินทร์อยู่แล้ว แล้วที่วัดมีการจัดโครงการอุปสมบทหมู่หลากหลายมาก สมัยก่อนไม่ได้เป็นคนศรัทธาพระพุทธศาสนาเลย ผมว่าวัยรุ่นทุกคนก็เป็น อาจจะไม่ได้มีความเข้าใจในเรื่องพระพุทธศาสนา พระไม่ไหว้เลย และไม่เชื่อเรื่องของพิธีกรรมต่างๆ ไม่เชื่ออะไรเลยนอกจากตัวเอง แต่พอเหตุการณ์มันเปลี่ยนไปเริ่มโตขึ้น เริ่มวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและคนรอบข้าง สุดท้ายมันก็เริ่มตกผลึกไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ที่ทำให้เรากลับมาศรัทธา คือเหตุการณ์ที่เราไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ในเรื่องของกรรมเริ่มถูกปลูกฝังจากในเรือนจำด้วย เพราะว่าในนั้นเรียกว่าตั้งแต่ตื่นนอนเลยจะผูกพันกับพุทธศาสนาตลอด ประมาณตี 4-5 เราตื่นมาพร้อมกับเสียงสวดมนต์ แล้วเราก็ต้องลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ แล้วก็ใน 1 วัน สวดมนต์ประมาณ 5 รอบ กิจกรรมในเรือนจำที่มีให้ผู้ต้องขังก็มีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเยอะแยะมากมาย มีช่วงของการอบรมฝึกจงกรม ฝึกสมาธิ บางโอกาสมีพระเข้ามาเทศน์ในเรือนจำด้วย ตรงนี้ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา เราเริ่มหาเหตุผล เพราะตอนที่ใช้ชีวิตในเรือนจำมันเริ่มมีเวลาอยู่กับตัวเอง เริ่มคิดทบทวนว่าทำไมเหตุการณ์มันเกิดขึ้นกับเราแบบนี้ ก็เลยเริ่มนั่งทบทวน พอผมได้มาบวชในครั้งแรก ผมได้เริ่มเรียนรู้แล้วว่า จริงๆ หลักธรรมมันมีอยู่แล้วบนโลก มันเป็นหลักการ เขาเรียกว่าเป็นกฎของโลก มีก่อนพระพุทธเจ้าด้วย พระพุทธเจ้าเพียงแต่ว่าท่านทรงรู้ก่อน เรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วมาเผยแพร่ อารมณ์ประมาณนักวิทยาศาสตร์ รู้กฎแรงโน้มถ่วง รู้กฎต่างๆ ที่เป็นวิทยาศาสตร์แล้วมาเผยแพร่ แล้วธรรมะเรียกว่าเป็นสิ่งไม่มีกาลเวลา มีความทันสมัยตลอดเวลา เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่พันปีทุกวันนี้ก็ยังจริงอยู่”
“ถามว่าประทับใจที่ไหน ถ้าส่วนตัวพุทธคยาแหละ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีพระมหาเจดีย์ และมีต้นโพธิ์ที่พระองค์นั่งตรัสรู้ด้วย รู้สึกจะเป็นรุ่นที่ 4-5 แล้ว ไม่ใช้ต้นเมื่อ 2 พันปีที่แล้วนะ เขาน่าจะมีกรรมวิธีแบบปักจนรุ่นที่ 5 แล้ว สิ่งที่ได้จากการบวชที่อินเดียได้เยอะมหาศาลกับชีวิตมาก แค่ได้ไปก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว อยากจะบอกว่าตั้งแต่เริ่มไป ไม่ได้ง่ายนะ เพราะปกติงานเราก็ค่อนข้างเยอะ กว่าจะเคลียร์งานได้ วางแผนชีวิตได้ต่างๆ แล้วการเดินทางไปที่นั่นเราได้รับรู้ถึงเรื่องราวของพุทธประวัติ เราได้สัมผัสได้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่เราเคยเรียนพระพุทธศาสนามาตอนเด็กๆ แล้วนอกจากเรื่องของธรรมะ เรายังได้เห็นชีวิตของคนอินเดียด้วย มีความแตกต่างเรื่องของชั้น วรรณะ เราได้เห็นถึงความลำบากของเขา นอกจากทำบุญ ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ก็จะมีการให้ทานด้วย ที่นั่นเวลาเห็นพระไทยแล้วชอบมาก เขาบอกว่าพระไทยเมตตาสูง ผมก็ติดใจนะ แต่ต้องดูจังหวะชีวิตอีกที ผมว่ามันมีความเป็นอินเดียสไตล์ ทุกอย่างมันไม่ได้เพอร์เฟกต์ ไม่ได้พร้อม แต่มันมีเสน่ห์ของมันในเรื่องบรรยากาศของมัน”

แพท เผยต่อว่า “การนอนที่โรงแรมนี่แหละ มันนำพามาสู่เหตุการณ์สุดระทึกที่เกือบจะขาดอากาศหายใจ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันที่ 15 ที่เราเดินทางข้ามไปที่ประเทศเนปาล ก็ได้ไปพักที่โรงแรมหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอินเดียหรือเนปาลขึ้นชื่อเรื่องไฟดับอยู่แล้ว แล้วช่วงเช้าหลังจากบิณฑบาตเสร็จ เราต้องเอาบาตรขึ้นไปล้างบนที่พัก ก็ได้มีการขึ้นลิฟต์ ตอนนั้นมีอยู่ประมาณ 6-7 รูป ผมพักอยู่ชั้น 3 แล้วก็มีพระที่พักอยู่ชั้น 2 ด้วย ระหว่างกำลังเดินทางขึ้นไป ชั้น 1 ถึงชั้น 2 เนี่ยลิฟต์เริ่มมีกระตุกแล้ว มีไฟแวบๆ แต่ก็ขึ้นไปจอดที่ชั้น 2 ได้ พระที่อยู่ชั้น 2 ก็ออกไป ระหว่างกำลังจะขึ้นไปชั้น 3 ลิฟต์ดับ ไฟดับมืดเลย ส่วนตัวเคยติดลิฟต์มาแล้ว แต่ว่าครั้งนั้นมันยังสว่างอยู่ แต่นี่มันมืดหมดเลย แล้วหยุดค้างอยู่อย่างนั้น แล้วในนั้นมีผมอยู่แล้วพระอีก 2 รูปที่บวชด้วยกัน แต่อายุมากกว่าเป็นผู้ใหญ่หน่อย พอดับเสร็จปุ๊บใจเราไม่ดีละ ต่างบ้านต่างเมืองด้วย แล้วเราก็ไม่ค่อยมั่นใจในมาตรฐานของที่นั่น กังวลหลายอย่าง พยายามช่วยกันกดขอความช่วยเหลือ แต่มันก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าไฟมันดับไปหมดเลยแล้วพยายามติดต่อด้วยโทรศัพท์มือถือก็ไม่มีสัญญาณ แล้วมีพระที่อยู่ด้านหน้าพยายามเปิดประตูลิฟต์ที่อยู่ระหว่างชั้น ซึ่งออกไปไม่ได้อีก แล้วใจเราคิดว่ามันจะหล่นหรือเปล่า ณ ตอนนั้นยอมรับเลยว่าใจเราไม่สู้ดี สักพักหนึ่งไฟก็มา แล้วก็ได้ออกไป แต่อยากจะบอกว่าช่วง 2-3 นาทีนั้นใจมันระทึกมาก เพราะว่า อากาศด้วย ความที่ลิฟต์เล็กด้วย แล้วอากาศมันแห้ง อากาศหนาวด้วย อากาศเลยไม่ได้เยอะมาก รู้สึกอากาศหมดไวมาก พอออกมาได้ก็มาทราบว่าลิฟต์ข้างๆ ก็ติดเหมือนกัน แล้วมีพระที่บวชด้วยกันกับคณะเรา 1 รูป แต่ว่าไปรวมกับพระสงฆ์จากประเทศกัมพูชา ก็ติดมืดเหมือนกัน แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง หลังจากนั้นวันอื่นๆ ไม่ว่าจะไปพักที่ไหน เดินขึ้น-ลงตลอดเลยครับ ผมก็มีการเตือนพระรูปอื่นเหมือนกัน ใครจะขึ้นก็ขึ้นนะ แต่ผมยอมเดิน แม้จะสูงแค่ไหนก็ตาม”

“หลังจากที่บวชเรียบร้อยแล้ว แพลนในอนาคต จริงๆ ก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย ตั้งแต่ชีวิตที่ผ่านมาหลายปีแล้วก็จะยึดอยู่ 3 หลักใหญ่ๆ คือเรื่องของงานที่รับ มีโอกาสอะไรก็ทำไปให้เต็มที่ แล้วก็ในส่วนของการกลับมาดูแลครอบครัว มาเป็นเสาหลัก ตรงนี้ก็ทำให้เต็มที่และใช้เวลาอยู่กับครอบครัว แล้วอีกอย่างที่ต้องบาลานซ์ คือการทำงานเพื่อสังคม ตามความรู้ ความสามารถที่เรามีอยู่ บวชแล้วจะเบียดเลยไหม เอาจริงชีวิตที่ผ่านมา ตอนผมกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติเนี่ย เพิ่งได้ 3-4 ปีเอง ชีวิตยังประกอบร่างอยู่เลย บวกกับภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เวลาส่วนตัวยังไม่ค่อยมีเลย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมยังไม่ได้คิด แล้วก็มีอีกหลายอย่างที่อยากทำ ก็ยังไม่ได้อยู่ในแพลนชีวิตเลย”



ขอบคุณภาพประกอบจาก : คุยแซ่บShow