สวัสดีเดือนกุมภาพันธ์กับอากาศที่ไม่ค่อยจะแจ่มใสเท่าใดนัก รักษาสุขภาพกันด้วยนะขอรับท่านผู้อ่าน เป็นที่รู้กันว่าปัจจุบันนี้ทางค่ายซูซูกิ (Suzuki) ได้ตัดสินใจปิดสายพานการผลิตในประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว และรถที่จะนำเสนอให้กับประเทศไทยก็จะเป็นโมเดลที่นำเข้าเท่านั้น โดยหลักๆแล้ว จะนำเข้าจากอินโดนีเซีย เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงทางการค้าเสรีอาเซียน (Asean Free Trade Area) เหมือนที่ไทยนำเข้า ซูซูกิ รุ่น XL7 เข้ามาในนั่นเอง

โดยในปีนี้ ทางซูซูกิ มีแนวโน้มเป็นอย่างสูงที่จะนำเข้ารถยนต์แบบเอสยูวี ในพิกัด บี-เซ็กเมนต์ (B-Segment SUV) อย่าง ซูซูกิ ฟรองซ์ (Suzuki FRONX) ที่มีคู่แข่งในตลาดคือ โตโยต้า ยาริส ครอส (Toyota Yaris Cross) และฮอนด้า ดับเบิ้ลยูอาร์วี (Honda WR-V)นั่นเอง โดยฟรองซ์นั้นแต่เริ่มเดิมที เป็นรถที่พัฒนาขึ้นเพื่อผลิตในโรงงาน มารูติ ซูซูกิ (Maruti Suzuki) สำหรับตลาดอินเดียในปี 2023 และส่งออกไปยังตลาดอื่นๆทั่วโลกรวมถึงส่งกลับไปยัง ญี่ปุ่น ด้วย และในปี 2025 นี้เองก็จะเริ่มการผลิตในโรงงานที่อินโดนีเซียเป็นแห่งต่อไป 

ด้านรูปลักษณ์ของฟรองซ์นั้นดูดีเอาเรื่อง เพราะให้บุคลิกที่ดูมีความสปอร์ต มีมัดกล้าม แต่ดูปราดเปรียวในเส้นสาย สวยทุกมุมมองโดยเฉพาะด้านท้ายที่ดูเอียงลาดสไตล์คูเป้ แม้ไม่ได้ออกแบบให้ดูสมบุกสมบันลุยท้องนามากนัก แต่ก็มีใต้ท้องสูงเอาเรื่องคือ สูงถึง 210 มิลลิเมตร ทำให้สามารถผ่านพื้นที่ขุรขระได้ดี แถมยังได้รับการออกแบบชิ้นส่วนกันกระแทกใต้กันชนหน้าและท้าย และด้านข้าง ในสัดส่วนที่ลงตัว เรียกได้ว่า เรื่องความหล่อเหลาสไตล์หรูแกมลุย สามารถเทียบชั้นกับคู่แข่งพิกัดเดียวกันในตลาดได้ทุกรุ่น

ด้านงานออกแบบภายในยังคงออกแบบโดยยึดถือ แนวทางการออกแบบที่คนคุ้นเคย ใช้งานง่ายด้วยการใช้ปุ่มกดจริง ร่วมกับระบบจอแบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อผ่านระบบ แอนดรอยด์ออโต และ แอปเปิ้ล คาร์เพลย์ (Android Auto & Apple Carplay)  แน่นอนว่าเพื่อให้รองรับกับไลฟสไตล์ของคนรุ่นใหม่ ฟรองซ์ จะมาพร้อมระบบชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายตามสมัยนิยม

โดยขุมกำลังของ ฟรองซ์ ในปัจจุบันในตลาดญี่ปุ่นนั้นมีหลายแบบให้เลือกใช้คือ เครื่องยนต์ 3 สูบเรียง K10C พร้อมระบบเทอร์โบ และยังพ่วงระบบไมลด์ไฮบริด (MHEV) อีบูสเตอร์ 48 โวล์ต มีกำลังสูงถึง 100 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 148 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะลงสู่ล้อหน้า

กับอีกขุมกำลังหนึ่ง สำหรับคนเน้นประหยัดก็คือ เครื่องยนต์ K15B ระบบไมลด์ไฮบริด 4 สูบเบนซิน 1.5 ลิตร 101 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน แต่พ่วงระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ตัวเล็กๆ มีกำลัง 3.1 แรงม้า แต่มีแรงบิดสูงถึง 60 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะลงสู่ล้อหน้าเช่นกัน แน่นอนว่าด้วยแรงบิดที่สูงกว่าเครื่องเทอร์โบ การออกตัวในเมืองน่าจะเบาสบายกว่า แต่ถ้าเรื่องขับสนุกอาจจะแพ้ตัวสามสูบเทอร์โบ แถมเครื่องยนต์ตัวนี้ในญี่ปุ่นยังมีระบบขับเคลื่อน AWD ให้เลือกอีกด้วย

แต่ถ้าจะเอาราคาย่อมเยา ก็ยังมีเครื่อง 1.2 ลิตร K12N 90 แรงม้า มีแรงบิด 113 นิวตันเมตร ส่งกำลังลงสู่ล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ นอกจากนั้นยังมีเครื่อง K15B ซึ่งเป็นเครื่อง 1.5 เบสิค ไม่มีอะไรไฮเทค มีกำลัง 105 แรงม้า 138 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ สุดคลาสสิค! มีซึ่งถ้าจะให้เดาว่าในบ้านเราจะขายตัวไหน ก็เดายาก แต่ติดว่าในบ้านเราน่าจะเลือกตัง 1.5 ไมลด์ไฮบริด เพราะส่วนหนึ่งของบ้านเรานั้นรถสเปคต่ำๆลูกค้าไม่ชอบ แต่ถ้าทำราคาได้สวยจริงๆเครื่อง และเกียร์เชยๆ ก็อาจจะขายได้อยู่เหมือนกัน! อันนี้ต้องทำการบ้านให้หนักๆ

ส่วนด้านความปลอดภัยนั้นก็ให้มาจุใจตามาตรฐานรถยุคใหม่ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง รวมถึงระบบพาสซีพเซฟตี้ต่างๆ แต่ที่มั่นใจได้คือ โครงสร้างที่แข็งแกร่งในชื่อของ ซูซูกิ ฮาร์ทเธค (Suzuki Heartech) ที่เสริมความแข็งแรงของโครงสร้างการใช้เหล็กเหนียวพิเศษ (Ultra High Tensile Steel) ในส่วนต่างๆของโครงสร้างเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับห้องโดยสาร และความแข็งแกร่งนี้นอกจากจะผลดีต่อการควบคุมบังคับรถอีกด้วย ยังช่วยให้สามารถลดน้ำหนักของโครงสร้างให้เบาลงได้อีกด้วย

ด้วยยอดขายในอินเดียประเทศเดียวในปี 2023 ขายไปได้เกือบแสนคัน เราลองมาลุ้นกันดูว่า ฟรองซ์ จะทำยอดขายในบ้านเราได้ดีเพียงใด เห็นแว่วๆมาว่าจะมาในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และทำราคาในพิกัด 7 แสนบาทอีกด้วย ต้องมาลุ้นกันดูว่าในยุคที่โชว์รูมหายไปเยอะนี่ จะลุ้นได้สักเท่าไหร่นะขอรับ!