จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ดำเนินการสืบสวนสอบสวนในคดีหมูเถื่อนและคดีเนื้อสัตว์เถื่อนนานาชนิดที่ถูกลักลอบเข้ามายังราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย แบ่งเป็น 3 คดีพิเศษ ประกอบด้วย คดีพิเศษที่ 59/2566 หรือหมูเถื่อน 161 ตู้ คดีพิเศษที่ 126/2566 หรือคดีหมูเถื่อน 2,388 ตู้ และคดีพิเศษที่ 127/2566 หรือคดีเนื้อสัตว์เถื่อนนานาชนิด (หมูเถื่อน ตีนไก่สวมสิทธิ โคเถื่อน) กว่า 10,000 ตู้ เพื่อขยายผลติดตามจับกุมผู้กระทำความผิด หรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558

โดยในส่วนของคดีพิเศษที่ 59/2566 คณะพนักงานสอบสวนได้มีการแยกเป็น 9 คดีพิเศษ คือ 101/2566-109/2566 เพื่อดำเนินคดีกับรายบริษัทชิปปิ้งเอกชน ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้มีการส่ง 9 สำนวนให้ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้ว อันประกอบด้วย คดีพิเศษที่ 59/2566 คดีพิเศษที่ 101/2566 คดีพิเศษที่ 102/2566 คดีพิเศษที่ 103/2566 คดีพิเศษที่ 104/2566 คดีพิเศษที่ 105/2566 คดีพิเศษที่ 106/2566 คดีพิเศษที่ 108/2566 และคดีพิเศษที่ 109/2566 เนื่องด้วยพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐจากกรมปศุสัตว์และกรมศุลกากร เข้ามาเกี่ยวข้องทุจริต ทำให้จึงอยู่ระหว่างสรุปสำนวนส่ง ป.ป.ช. อีกเพียง 1 สำนวน เป็นคดีพิเศษที่ 107/2566 รายบริษัท ซี เวิร์ล โฟรเซ่น ฟู้ดส์ จำกัด ตามที่มีการรายงานข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 126/2566 พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน อาทิ ร.ต.อ.ชาญณรงค์ ทับสาร รอง ผอ.กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค นายเมธีวัฒน์ คำเสือ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ นายเกรียงศักดิ์ สุวรรณศรี พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการ พ.ต.ต.สุทศธวรรศ อารีย์รัตนะนคร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านปฏิบัติการพิเศษ เป็นต้น ร่วมกันนำหมายค้นของศาลจังหวัดสระบุรี เข้าปิดล้อมตรวจค้น บริษัทแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ หมู่ 13 ต.ลำพญากลาง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เป้าหมายรายสำคัญ ซึ่งตามรายงานสืบสวนพบว่ามีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

โดย พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีหมูเถื่อน เปิดเผยว่า ดีเอสไอและตำรวจในพื้นที่ได้ร่วมทำการตรวจค้นบริษัทดังกล่าว เนื่องด้วยพบว่าบริษัทดังกล่าวเคยจดทะเบียนที่นี่ โดยมีความเชื่อมโยงกับ บริษัท เดอะวินเนอร์ เทรดดิ้ง ซึ่งมีนายทรงพล เทียนขำ เป็นกรรมการบริหารของบริษัทฯ และมีสถานะเป็นบุตรชายของเจ้าของบริษัทที่เราเข้าตรวจค้นในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ในการสืบสวนสอบสวน ทำให้เราทราบว่า บริษัทที่เข้าตรวจค้นในวันนี้ มีการแจ้งจดทะเบียนประกอบกิจการเป็นศูนย์รับน้ำนมดิบ แต่นายทรงพล ลูกชาย ได้มีการใช้ชื่อ สถานที่ตั้ง มาทำธุรกรรมกิจการต่าง ๆ ในส่วนของบริษัทเดอะ วินเนอร์ฯ แต่ปัจจุบันบริษัท เดอะวินเนอร์ฯ ที่กล่าวอ้างนั้น ไม่ได้มีการดำเนินกิจการใด ๆ กับที่นี่แล้ว
อีกทั้งจากการสืบสวนยังพบว่าบริษัท เดอะวินเนอร์ฯ ของนายทรงพล เคยมีการโอนเงินกับบริษัท 2 แห่งที่ดีเอสไอเคยจับกุมไปก่อนหน้านี้ คือ บริษัท ศิขัณทิน เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท สมายล์ ท็อป เค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ซึ่งมีพฤติการณ์การโอนเงินระหว่างกันมากกว่า 500 ครั้ง ทั้งยังมีการโอนเงินไปต่างประเทศด้วย โดยบริษัทที่ต่างประเทศดังกล่าวที่รับโอนเงิน คือ บริษัทที่ส่งชิ้นส่วนสุกรแช่แข็งเข้ามายังประเทศไทย จึงเป็นเหตุให้วันนี้ดีเอสไอต้องเข้าตรวจค้น อย่างไรก็ตาม สำหรับยอดเงินหมุนเวียนของบริษัทแห่งนี้ปรากฏจำนวนกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนที่เราตรวจสอบ พบว่าเป็นการส่งสินค้าไปยังบริษัทโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ และบริษัทขนาดเล็กอีกจำนวนมากในห้วงปีที่มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเมื่อปี 2564-2566 ซึ่งถือว่ามีเงินหมุนเวียนมากผิดปกติ เป็นเหตุสงสัยเลยต้องมาตรวจค้น

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทที่เข้าตรวจค้นวันนี้ เป็นฟาร์มรีดนมวัว ไม่ใช่สถานที่ชำแหละเนื้อสัตว์ตามที่จดทะเบียน และจากการตรวจสอบทั่วบริเวณพื้นที่ทั้งหมด ไม่พบว่ามีหลักฐาน หรือเอกสารอะไรที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่เราจับกุมแต่อย่างใด พบเพียงว่าบริษัทดังกล่าวเคยใช้ที่อยู่ที่นี่ตั้งเป็นบริษัท แต่พอสอบถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทแล้วพบว่าไม่มีการมาตั้งทำกิจกรรมบริษัทแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้ชื่อและที่อยู่ของสถานที่นี้เป็นที่ดำเนินการในการรับส่งเอกสาร ทั้งนี้ หากบริษัทแห่งนี้มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดจริง จะสร้างความเสียหายต่อรัฐได้ถึง 10,000 ล้านบาท
พ.ต.ต.ณฐพล เผยอีกว่า จากการตรวจค้นบริษัทดังกล่าวนั้นไม่พบผู้บริหารของบริษัท ซึ่งจะต้องออกหนังสือเชิญเข้ามาให้ข้อเท็จจริงว่า เหตุใดจึงใช้พื้นที่นี้เป็นที่ตั้งบริษัท และไม่พบว่าเป็นที่ทำการบริษัทแต่อย่างได เนื่องจากพบว่ามีเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก และเป็นข้อสงสัยของพนักงานสอบสวนที่จะต้องเชิญตัวเจ้าของบริษัทมาให้ข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนต่อไป

พ.ต.ต.ณฐพล เผยอีกว่า สำหรับใบการส่งสินค้าเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเป็นสินค้าเกี่ยวกับห้องเย็นทั้งหมดนั้น ดีเอสไอได้ทำเอกสารประสานความร่วมมือไปยังหลายประเทศ (พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 หรือ MLAT) ได้แก่ ประเทศอิตาลี เยอรมนี เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ บราซิล ฯลฯ เพราะกลุ่มบริษัทดังกล่าวได้มีการสั่งสินค้าจากประเทศเหล่านี้ โดยคณะพนักงานสอบสวนจะได้เดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่สิ้นเดือน ก.พ.นี้ เพื่อไปตรวจสอบใบ B/L ใบ Invoice ว่าสินค้าที่ส่งเข้ามาในไทยคืออะไร โดยที่ผ่านมามีหลายบริษัทได้มีการสำแดงเท็จ ส่งสินค้าเป็นชิ้นส่วนสุกรแต่กลับสำแดงเท็จเป็นแผ่นพลาสติกโพลิเมอร์ หรือบางครั้งสำแดงเป็นอาหารทะเล ทั้งนี้ เราได้มีการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่ามีการสำแดงเท็จจากปลาเป็นชิ้นส่วนสุกร
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้นำหมายศาลแสดงแต่ไม่พบตัวนายทรงพล เทียนขำ เจ้าของบริษัทฯ แต่อย่างใด มีเพียงผู้จัดการฯ ออกมาต้อนรับ เจ้าหน้าที่จึงอ่านหมายศาล และวัตถุประสงค์การเข้าตรวจค้นให้ ก่อนเซ็นรับทราบ และนำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นในพื้นที่บริเวณดังกล่าวตามพยานหลักฐานที่ได้ ซึ่งจากการสอบสวนแล้วพบว่า เป็นต้นทางซึ่งใช้เป็นสถานที่ใช้ในการจัดทำเอกสารการซื้อ นำเข้าซากสุกรต่างประเทศ การชำระสินค้า การจำหน่ายซากสุกร (หมูเถื่อน) ที่ซื้อมาจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ได้ชำระภาษีอากรให้กับประเทศไทยในกรณีการสำแดงสินค้าเป็นปลา และชำระภาษีอากรน้อยกว่าความเป็นจริงกรณีสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ประกอบกับรายดังกล่าวเป็นกลุ่มที่นำเข้าที่เป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และจากการตรวจค้นเอกสาร พยานหลักฐานต่าง ๆ (ตู้เอกสาร) รวม 3 จุด คือ ที่ห้องประชุมของบริษัทฯ, ภายในออฟฟิศร้านจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ด และจุดสุดท้ายในบ้านพักหลังใหญ่ที่อยู่ในรั้วเดียวกัน โดยใช้เวลาในการตรวจต้นราว 1 ชม.เศษ จึงแล้วเสร็จไม่พบเอกสารหรือสิ่งผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด.