บริษัท ฟอร์ทูเดย์ จำกัด (ForeToday Co., Ltd.) ดิจิทัลเอเจนซีเจ้าของรางวัล Growth Hackathon 2024 สาขา Measurement Excellence จาก Google Thailand ได้จัดงานเวทีโชว์เคส “ ForeToday GROWTH FORUM 2025 “ ณ Glowfish Sathorn เพื่อแบ่งปันแนวทางสู่ความสำเร็จของการทำงาน และการเติบโตในฐานะดิจิทัลเอเจนซี จนได้รับความไว้วางใจจากหลากหลายธุรกิจในการทำการตลาดออนไลน์ พร้อมกับการคว้ารางวัลการันตีมากมายจากเวทีใหญ่ จนขึ้นแท่น Google Premier Partner

ในปี 2025 นักการตลาดดิจิทัลต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการเก็บข้อมูลผู้บริโภค อันเป็นผลมาจากพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนตัวอย่างเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้การโฆษณา Google Ad แบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายต้องพึ่งพากลยุทธ์ที่มีความคิดสร้างสรรค์และความเข้าใจเชิงลึกมากกว่าเดิม เนื่องจากการเลิกใช้คุกกี้บุคคลที่สาม (Third-Party Cookies) ทำให้การติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เป็นเรื่องท้าทาย นักการตลาดจึงจำเป็นต้องปรับแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพฤติกรรม โดยมุ่งเน้นไปที่ First-Party Data หรือข้อมูลที่ได้รับโดยตรงจากลูกค้า เช่น แบบฟอร์มสมัครสมาชิก การมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มของแบรนด์ และข้อมูลจาก CRM นอกจากนี้การใช้ AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและพฤติกรรมผู้บริโภคจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการสร้างโฆษณา Google ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

ณ งาน “ ForeToday GROWTH FORUM 2025 “ นายวิชญะ นิลรุ่งรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) บริษัท ฟอร์ทูเดย์ จำกัด กล่าวว่า “การตลาดดิจิทัลในปี 2025 จะก้าวสู่ยุค AI Marketing 2.0 โดย AI จะไม่ใช่เพียงเครื่องมือช่วยจัดการโฆษณาอีกต่อไป แต่จะเข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะปีนี้ Google Ads Update จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ AI & Automation, Privacy Policy และ Visual Ads ดังนั้นกุญแจสำคัญในการโฆษณาในปี 2025 คือ

  1. ใช้ AI บน Google Ads อย่างถูกต้อง และติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง

    แคมเปญ Performance Max (PMax) คือ ระบบโฆษณา Google Ad อัจฉริยะ ที่ผสานการทำงานของ AI และ Machine Learning เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยสามารถจัดการและกระจายโฆษณาไปยังทุกแพลตฟอร์มของ Google ผ่านการตั้งค่าแคมเปญเพียงครั้งเดียว มีจุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการวิเคราะห์และปรับแต่งเนื้อหาโฆษณาแบบเรียลไทม์ให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทาง ทั้ง YouTube, Google Search, Display Network และ Gmail ตามพฤติกรรมผู้บริโภค ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดข้อจำกัดด้านงบประมาณและทรัพยากรในการบริหารแคมเปญของธุรกิจ SMEs ทำให้สามารถแข่งขันกับแบรนด์ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. เริ่มเก็บ First-Party Data เช่น อีเมลและเบอร์โทรลูกค้า

    ในปี 2025 Google Chrome จะยกเลิกการใช้ Third-Party Cookies ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานออนไลน์ ส่งผลให้การทำ Remarketing หรือการแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์จะยากขึ้นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายโฆษณา Google ออนไลน์ที่อาจเพิ่มขึ้นถึง 20-30% สำหรับธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลลูกค้า (First-Party Data) เก็บไว้ในระบบ นักการตลาดจึงต้องเตรียมตัวปรับกลยุทธ์เพื่อใช้ ข้อมูล First-Party Data เช่น การสมัครสมาชิก หรือข้อมูลจาก CRM เพื่อสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าและตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงในการเพิ่มขึ้นของค่าโฆษณาออนไลน์ในอนาคต

  1. วิดีโอสั้นและ Visual Content จะครองตลาด

    การเปลี่ยนแปลงจาก Video Action Campaigns (VAC) ไปสู่ Demand Gen เป็นการปรับกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าครอบคลุมหลากหลายแพลตฟอร์ม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะการใช้ทั้งวิดีโอและภาพนิ่ง ในโฆษณา Google สามารถเพิ่ม Conversion ได้สูงถึง 20% โดยที่ต้นทุนไม่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับตัวที่สำคัญในวงการการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ควรเตรียมตัวและนำกลยุทธ์นี้มาใช้เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ”

ในงาน ‘ForeToday Growth Forum 2025’ คุณอาทิตย์ ช่วยชาติ จาก AMC AIR และคุณอธิปัตย์ ขำภูเขียว จาก BASE Playhouse ได้แบ่งปันประสบการณ์ที่ใช้ AI และ Data-Driven Marketing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจในปีที่ผ่านมา

AMC AIR ต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่สูง รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมช่างเทคนิค และการบริหารจัดการต้นทุนวัสดุ ได้มีการใช้ Search Engine Marketing (SEM) และ Performance Max (PMax) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเพิ่มลูกค้าโดยไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณา ทำให้การติดต่อจากลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่า 130%

ด้าน BASE Playhouse เผชิญกับการจัดการข้อมูลและการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อจำลองสถานการณ์ โดยนำ AI มาช่วยปรับกลยุทธ์และสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจลูกค้า ส่งผลให้ Conversion Rate เพิ่มขึ้นถึง 60%

โดยทั้งสองบริษัทนี้ ได้มีการนำ AI และ Digital Marketing เพื่อรับมือกับความท้าทายและสร้างผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จ

กรณีศึกษาทั้งสองนี้ชี้ให้เห็นว่า การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) และการใช้ กลยุทธ์ Mix Marketing สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการและสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดได้ แม้ในสภาวะที่ธุรกิจและตลาดต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงและความท้าทายที่ไม่หยุดยั้ง การใช้ข้อมูลเชิงลึกในการตัดสินใจกลยุทธ์การตลาดนั้นไม่เพียงช่วยให้นักการตลาดสามารถเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น แต่ยังสามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การผสมผสานเครื่องมือการตลาดที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น SEM, Performance Max หรือแม้แต่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพฤติกรรม ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่ม Conversion Rate และลดต้นทุนโฆษณาลงได้อย่างเห็นผล ภายใต้เงื่อนไขของการแข่งขันในตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีและเครื่องมือการตลาดดิจิทัลมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเปิดรับและปรับตัวให้เท่าทันยุคสมัย คือกุญแจสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตในตลาดที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

ดังนั้น นักการตลาดและธุรกิจในปัจจุบันจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวาง ในการใช้ Data-Driven Insights และกลยุทธ์การตลาดที่หลากหลายเพื่อทำให้ธุรกิจไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน การพัฒนาทักษะและความสามารถในการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจไม่สามารถมองข้ามได้

สำหรับธุรกิจหรือนักการตลาดที่สนใจและกำลังวางแผนการทำตลาดดิจิทัลทุกรูปแบบ สามารถติดต่อและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัท ฟอร์ทูเดย์ จำกัด (ForeToday Co., Ltd.)

โทร: 08-5151-4646
อีเมล: [email protected]
เว็บไซต์: www.foretoday.asia
หรือสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: ForeToday – Digital Marketing Agency

#ForeTodayGrowthForum #DigitalMarketing2025 #ForeTodayGoogleHackathon #AIMarketing #DataDrivenGrowth #SMEThailand