เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่เจอเหตุการณ์หนักหน่วงจนทำใจไม่ได้ สำหรับนางเอกสาว “อุ้ม อิษยา” หลังจากที่สูญเสียคนรัก คนสำคัญในครอบครัวถึง 2 คน นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ เพราะในช่วงเดือน พ.ย. 67 อุ้มเพิ่งสูญเสีย “คุณแม่ปรียาภรณ์ สุขภูมิ” ไปไม่หวนกลับ ซึ่งเวลาผ่านไปยังไม่ครบปี อุ้มก็ได้สูญเสีย “คุณพ่อปวิตร ฮอสุวรรณ” ในเวลาต่อมา โดยก่อนหน้านี้อุ้มได้โพสต์ประกาศขอรับบริจาคเลือด เนื่องจากคุณพ่อมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ตามที่ข่าวได้เคยนำเสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุดในงาน “แจ๋วแซ่บเฟ่อร์” อุ้ม อิษยา ได้เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียคนรักทั้งสองคนในเวลาที่ใกล้เคียงกัน อุ้ม เผยว่า

“สำหรับเรื่องครอบครัวก่อนหน้านี้คือเมื่อปีที่แล้วเพิ่งเสียคุณแม่ไป แล้วก็ผ่านมาแค่ 90 วันพอดีเป๊ะ คุณพ่อก็ตามไปอีก ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น จริงๆก่อนหน้านี้คุณพ่อป่วยอยู่แล้ว แต่ว่าเราไม่คิดว่าจะไปเร็วขนาดนี้ ซึ่งคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งแต่ยังเป็นระยะที่ยังรักษาได้ แต่ทีนี้คุณพ่อมีโรคเบาหวานด้วย มันก็เลยทำให้การผ่าตัด มีอาการแทรกซ้อนเข้ามา ก่อนหน้านี้ก็อยู่ไอซียูก็เลยต้องขอรับบริจาคเลือด แต่หลังจากรับบริจาคเลือดเสร็จไปไม่นาน เขาก็มีอาการทรุดลง ใจลูกก็สลายนะ แต่คือ ณ ตอนแรก อย่างของคุณแม่คือมันกระทันหันมากๆ เพราะเขาไม่ได้ป่วย แต่ของคุณพ่ออันนี้เราก็มีระยะประมาณนึง แต่เนื่องจากมันติดกันมากๆ มันเลยยังไม่มีเวลาให้ทำใจ ซึ่งทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็กระทันหันสำหรับเรามาก แต่หลายคนก็บอกว่า เขาคงเป็นคู่แท้กันจริงๆ ถึงตามกันไปแบบติดๆ ขนาดนี้ 

ส่วนตอนนี้สภาพจิตใจของเรา ก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ว่าก็ยังปรับตัวไม่ได้หรอก คือหนูยังโชคดีที่มีพี่ชาย และพี่ชายก็เพิ่งจะมีหลานเหมือนกัน เราก็เลยยังโอเคที่ยังมีพี่น้องอยู่ และยังมีญาติๆ ของพี่น้องคุณพ่อ คุณแม่ เขาก็ยังอยู่ ซึ่งถามว่าทำใจยากขนาดไหน ก็ยากมากเลย แต่คือโชคดีอุ้มมีคนรอบตัวที่ดีมากๆ เพื่อนๆ พี่น้อง เขาก็คอยติดต่อมาเรื่อยๆ ทำให้เรามีสติ ณ วันที่คุณพ่อเสียไป วันแรกคือร้องไห้ไม่ออก พอเพื่อนๆ พี่น้องติดต่อมาก็ทำให้เรามีสติ และค่อยๆ จัดการทำทุกอย่าง ซึ่งก่อนที่ท่านจะจากไปจริงๆ เขาก็ไม่ได้มีห่วงขนาดนั้น เพราะคุณพ่อและคุณแม่เกษียณทั้งคู่แล้ว เขาก็ไว้ใจให้เราได้ใช้ชีวิตและดูแลตัวเอง บวกกับอุ้มก็มีผู้จัดการเข้ามาก่อนที่คุณแม่จะเสีย เขาก็เลยรู้สึกว่าเขาสบายใจแล้ว เรารู้สึกว่าที่เขาจะห่วงก็คือการใช้ชีวิตของเรานี่แหละ ทำงานหนักไหม กินดีหรือว่าหลับสบายไหม มีความสุขหรือเปล่า ก็เลยรู้ว่าสิ่งที่เขาห่วงสุดๆ ก็คือการที่เราจะใช้ชีวิตให้ดียังไง

ซึ่งก่อนที่คุณพ่อจะเสียอุ้มกับพี่ชายก็ได้กลับไปเยี่ยมคุณพ่อตอนที่ท่านอยู่ในไอซียู  ได้พูดคุย แต่มันเป็นการพูดคุยแบบปกติ อัปเดตชีวิตเราในช่วงนี้ แต่อุ้มก็ไม่ได้อยู่กับท่านจนถึงวินาทีสุดท้าย ตอนแรกอุ้มกลับไปเยี่ยมพ่อแล้วก็กลับมาทำงาน แล้วก็หลังจากนั้นประมาณไม่กี่วันท่านก็เสีย แต่เราก็ได้วีดีโอคอลทุกวัน จนถึงตอนที่เขาติดเชื้อในกระแสเลือดหนักๆ ส่วนใหญ่เขาก็จะหลับ ถามว่าอยู่คนเดียวแล้วทำใจยากไหม คือมันก็มีวนกลับมาคิดเรื่อยๆ ก็คิดถึงเขาแหละ แต่คิดว่าเขาอยากให้เรามีความสุข 

ส่วนตอนนี้ก็พยายามใช้ชีวิตให้มีสติ  ใช้ชีวิตให้มันมีสติในทุกการกระทำ แต่ยังโชคดีที่ตอนนี้เริ่มมีโปรเจ็กต์งานใหม่ มันเลยยังสิ่งที่ให้ทำมากขึ้น ส่วนลางบอกเหตุว่า คุณพ่อจะจากไป คือไม่มีเลย จริงๆ ท่านก็ไม่ได้เสียกระทันหัน เพราะว่าคุณพ่อป่วยอยู่ไอซียูมาเป็นเดือนแล้ว แล้วก่อนที่เขาจะไป ก็มีคุณหมอแจ้งว่า ตอนนี้เชื้อมันไปติดหนักมากขึ้นนะ ซึ่งตัวอุ้มกับพี่ชายก็ไม่มีอะไรติดค้าง เราทำให้คุณพ่อคุณแม่เต็มที่แล้ว เรารู้ว่าเขาเองก็ไม่ได้ห่วงอะไรนอกจากเราสองคน ก็อยากจะขอบคุณทุกคนมากๆที่ส่งกำลังใจมาให้  ไม่ว่าจะเป็นคนรอบตัวพี่น้อง เพื่อน หรือแม้กระทั่งพี่ๆ นักข่าว หนูเห็นว่าทุกคนดูเป็นห่วงหนูมากๆ เลยอยากจะขอบคุณทุกคนจริงๆ เอาจริงๆ ทุกๆ กำลังใจมันทำให้เรามีสติ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราจะยังใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด ก็จะพยายามทำให้จิตใจเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็ยังมีร้องไห้อยู่ ยังคิดถึง ตอนนี้ที่พูดอยู่ก็ยังคิดถึงเขา คือติดกันจนเหมือนเราเองก็ค่อนข้างหนักอยู่ ตอนนี้ก็พยายามที่จะให้มีสติ แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะต้องไปหาหมอ ยังไม่ถึงขนาดนั้น คือเพื่อนๆ ก็เข้ามาปลอบได้“