จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวทั่วประเทศเมื่อวันที่ 28 มี.ค. โดยมีศูนย์กลางประเทศเมียนมา ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรงมาถึงประเทศไทย มีอาคารถล่มและคอนโดฯ หลายแห่งแตกร้าว ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้

เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจ JapanSalaryman ได้แชร์บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นที่มีการออกมาเผยว่า “แผ่นดินไหวประเทศเมียนมา” เป็นแผ่นดินไหวคลื่นยาว จึงทำให้อาคารสูงในกรุงเทพมหานครได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง พร้อมระบุข้อความว่า “นักวิเคราะห์จาก Weathernews บริษัทเอกชนของญี่ปุ่น ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพยากรณ์อากาศและเตือนภัยชื่อดังของญี่ปุ่น พูดถึงแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาได้น่าสนใจ เลยขอรีบสรุปมาครับ”

นอกจากนี้ วิเคราะห์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมียนมา มีดังต่อไปนี้
1.วันและเวลาที่เกิดเหตุ คือ แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม เวลาประมาณ 15:20 น. ในเวลาญี่ปุ่น เวลา 13:20 น. ในเวลาประเทศไทย โดยเป็นจุดศูนย์กลางอยู่ในเขตตอนในของเมียนมา (Inland Area)
-ขนาดแผ่นดินไหว (Magnitude) อยู่ที่ 7.7
-ความลึกของศูนย์กลางแผ่นดินไหว (Hypocenter Depth) ประมาณ 10 กิโลเมตร
-เนื่องจากแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในพื้นที่ตอนในของแผ่นดิน จึงไม่มีการเกิดสึนามิ

โดยรายละเอียด ทางเทคนิคเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผ่นดินไหวจาก USGS (United States Geological Survey)
-ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวในภาพ คือ จุดสีส้มขนาดใหญ่และมีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นตามมาในบริเวณใกล้เคียง
-สาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดจากการเลื่อนตามแนวรอยเลื่อนแบบด้านข้าง (Strike-slip fault)
-เนื่องจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ใกล้ผิวดิน (ตื้นมาก) จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใกล้เคียงกันในอนาคต

นอกจากนี้ ความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้น เมื่อดูในรายละเอียดเกี่ยวกับระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวจะเห็นว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดมีระดับความรุนแรง 9 ตามมาตรามอดิฟายด์เมอร์คัลลี่ (Modified Mercalli Intensity – MMI 9) และหากแปลงเป็นระดับความรุนแรง ตามมาตราแผ่นดินไหวของญี่ปุ่น (Shindo Scale) จะเทียบเท่ากับ ระดับ 6+ (Shindo 6 強)

อีกทั้ง ผลกระทบต่อประชากรในพื้นที่ มีดังต่อไปนี้
-เมือง Sagaing ซึ่งมีประชากรประมาณ 71,900 คน
-เมือง Meiktila ซึ่งมีประชากรประมาณ 177,000 คน พื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่ได้รับแรงสั่นสะเทือนรุนแรงระดับ 6+ ตามมาตราวัดของญี่ปุ่น และขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดจากทางการเมียนมาเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต แต่คาดว่าความเสียหายทางมนุษย์จะอยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งมีดังต่อไปนี้
– นอกจากผลกระทบในเมียนมาแล้ว กรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวประมาณ 1,000 กิโลเมตร ก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้เช่นกัน
– มีอาคารขนาดใหญ่ที่ถล่มลงขณะยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจากข้อมูลของพนักงานของ Weathernews สำนักงานกรุงเทพฯ มีรายงานว่า รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจนและมีการอพยพฉุกเฉิน

โดยวิเคราะห์ ความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือนในกรุงเทพฯ จะมีดังต่อไปนี้
– เมื่อวิเคราะห์แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ จะพบว่าเทียบกับมาตราแผ่นดินไหวของญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ ระดับ 3 ถึง 4 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมาตรฐานการออกแบบโครงสร้างอาคาร และมาตรการต้านแผ่นดินไหวในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน
– แรงสั่นสะเทือนระดับนี้แม้จะไม่รุนแรงมากนัก แต่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่ออาคารสูง และโครงสร้างที่อาจไม่มีระบบป้องกันแผ่นดินไหวที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ผลของแผ่นดินไหวคลื่นยาว จะมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า อาคารสูงในกรุงเทพฯ สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องและรุนแรง ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหวคลื่นยาว (Long-period Ground Motion) ซึ่งจะมีดังต่อไปนี้
– คลื่นแผ่นดินไหวระยะยาวมีความถี่ต่ำและสามารถเดินทางได้ไกล และอาคารสูงที่มีความยืดหยุ่นมักจะเกิด การสั่นพ้อง (Resonance) กับคลื่นแผ่นดินไหวระยะยาว จะส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนที่รุนแรงและยาวนาน
– แผ่นดินไหวคลื่นยาว สามารถเดินทางได้ไกลกว่าคลื่นแผ่นดินไหวทั่วไป และทำให้เกิดความเสียหายในพื้นที่ที่อยู่ไกลจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว เช่น ในกรณีของกรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตาม สถานีวัดแผ่นดินไหวที่ Kagoshima ประเทศญี่ปุ่น จะตรวจพบคลื่นแผ่นดินไหวระยะยาวจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา ถึงแม้ว่าคลื่นแผ่นดินไหวจะเดินทางมาถึงญี่ปุ่น แต่แรงสั่นสะเทือนลดลง จนไม่ได้รับการบันทึกเป็นแผ่นดินไหวรุนแรงในญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่าแผ่นดินไหวคลื่นยาวจากเมียนมา เดินทางไกลและส่งผลกระทบในระยะไกลถึง 1,000 กิโลเมตร อีกทั้ง ข้อกังวลเกี่ยวกับแผ่นดินไหวในอนาคต ซึ่งเนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดจากรอยเลื่อนแบบด้านข้างตื้น (Shallow Strike-slip Fault) จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใกล้เคียงกันในอนาคต

ขอบคุณข้อมูล : JapanSalaryman