เรียกได้ว่าเป็นศิลปินอีกหนึ่งคนที่กว่าจะประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับ “ธัญญ่า อาร์สยาม” นักร้องลูกทุ่งอีสาน ที่ชีวิตตอนนี้ดูเหมือนจะแฮปปี้ไม่น้อย เพราะเธอมี “น้องคาร์โล” ลูกชายคนแรกมาเติมเต็มชีวิตให้มีสีสันและรอยยิ้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ล่าสุด ธัญญ่า ได้ออกมาเปิดใจเจาะลึกชีวิตปัจจุบัน และเผยเรื่องราวส่วนตัวที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอพ่อ ยอมรับชีวิตคู่เหมือนอยู่คนละบ้าน พร้อมเปิดแผลในใจที่เจ็บจนแทบไม่ไหว เผยชีวิตพัง เคยคิดจบชีวิต แต่หนังเรื่องแรกของตัวเองคือสิ่งที่ยื้อไว้ และเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งกับ “เบิ้ล ปทุมราช” ในรายการ เบิ้ล AM จากช่องยูทูบ WE DO โดยเธอเผยว่า

“สำหรับชีวิตคู่บางครั้งโฟกัสเรื่องงานเกินไป ต่างคนต่างใช้ชีวิต เหมือนไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นเรื่องจริง เวลาไลฟ์สดด้วยกันมันก็เหมือนโอเค แต่พอปิดไลฟ์ไปเหมือนต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเล่นโทรศัพท์ โฟกัสที่งานเหมือนแยกกันอยู่ด้วย ถามว่าแล้วปรับยังไงถึงอยู่ด้วยกันได้จนมีลูกทุกวันนี้ ก็พยายามบอกเขาว่าให้บอกรักทุกวันได้ไหม เพราะอย่างน้อยๆ เราก็ยังได้รู้ในทุกๆ วันว่าเรายังรักกันอยู่ แต่ว่าถ้าทำไม่ได้บอกเรานะ อยากจะบอกเขาว่าชีวิตเรามันเจออะไรมาเยอะมาก เพราะฉะนั้นการที่เข้ามาในชีวิตหนูไม่ได้ขออะไรเยอะเลย ขอแค่ซัพพอร์ตจิตใจเวลาที่เราไม่ไหว เวลาที่เสียใจ หรือร้องไห้ รู้สึกแค่ว่าอยากมีคนเดินเข้ามาปลอบแค่นี้ก็รู้สึกดี แล้วก็เคยทะเลาาะกันหนักด้วย หนักสุดคือขึ้นx xง ตอนนั้นมีลูกแล้ว มันเหมือนรู้สึกว่าทำไมจูนกันยากจัง ทำไมเข้ากันยากจัง ด้วยนิสัยต่างๆ การสื่อสารด้วย เราเติบโตกันมาคนละแบบ ส่วนชื่อเก่าที่พ่อแม่ตั้งให้คือ กัญญาภัทร ทวินันท์ ชื่อเล่น กุ๊กกิ๊ก ซึ่งที่ยังไม่มีใครรู้คือ ธัญญ่า ไม่เคยเจอพ่อเลย ไม่เคยเจอ คือพ่อกับแม่เลิกกัน ตั้งแต่ช่วงประมาณตอนอายุ 3 ขวบ แม่ก็คือพาหนีเลย ก็ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างใช้ชีวิต มารู้อีกทีนึงว่าพ่อเสียแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเสียเพราะอะไร รู้ตอนอายุ 17 คือแม่ประกาศในโซเชียลตามหาพ่อ ก็เลยมีญาติพ่อมาเจอแล้วก็บอกว่าเขาตายยังไง สรุปคือเขาเสียใจแล้วก็ไม่กินข้าวกินน้ำ กำรูปภาพเราแน่น ตรอมใจที่แม่พาหนี แต่เขาตามจากภาคใต้มาร้อยเอ็ด ขี่มอเตอร์ไซค์มา แล้วแม่ก็ไปแจ้งความไว้ว่าไม่ให้มายุ่งกัน ถามว่ารู้สึกเสียใจไหม คือมันไม่ได้มีความผูกพันมาตั้งแต่แรก แล้วมันไม่รู้สึกถึงว่าความเป็นพ่อคืออะไร แต่พอได้ยินข่าวก็รู้สึกว่าในตอนที่เขากำลังร้องไห้หาเรา คิดถึงเรา แล้วเขากำรูปเราแน่นๆ แล้วเขาจะหมดลมหายใจ นึกถึงเรา นึกถึงแม่ เราทำอะไรอยู่ แต่ว่าพอตอนที่รู้ก็ร้องไห้นะ รู้สึกว่ามันคงเจ็บปวดมาก

ซึ่งเราเป็นคนที่เซนซิทีฟกับความรักมาก ทั้งเรื่องครอบครัวมีปัญหากับแม่หรือรักครั้งเก่าบ้าง ตอนนั้นเราตัดสินใจแก้ปัญหา คือมันต้องค่อยๆ ทีละเรื่อง แล้ว ณ ตอนนั้นก็มีโควิด เราต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ด้วยแรงตัวเองแค่ 1 แรงเลย มีปัญหากับคุณแม่ก็เป็นเรื่องที่หนักสาหัสมากๆ ในตอนนั้นที่มีความรัก เขาเหมือนเป็นเกราะป้องกันที่เซฟโซนของเรา พอเสร็จเรื่องคุณแม่เราโอเคแล้ว กลับกลายเป็นว่าเซฟโซนของเรามาทำร้ายเราเอง เป็นจุดหักมุมที่รู้สึกว่าชีวิตจะไปยังไงต่อ เหมือนไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่รักแล้วก็หวังดีกับเราจริงๆ เลย ช่วงนั้นปี 64-65 เป็นช่วงเวลาที่ความสดใสหนูหายไปทั้งหมด แล้วเราก็ต้องดึงตัวเองกลับมาไปหาหมอจิตเวช ประมาณปีกว่าถึงสองปี ส่วนจุดกำเนิดที่คิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า คือตอนนั้นมีการวางแผนการตายแล้ว มีการวางแผนมาตลอดว่าเราจะต้องทำยังไง สิ่งหนึ่งที่ยื้อหนูไว้ได้คือ หนูจะบอกทุกคนตลอดว่ารอดมาได้เพราะหนังเรื่อง LOVE เลยร้อยเอ็ด ที่เราเล่นไว้แล้วมันไม่ได้ฉายสักที ติดโควิด ก็เลยยื้อเวลาเรามาได้ เพราะเราอยากดูหนังเรื่องนั้นมาก เพราะเป็นนางเอกเรื่องแรก ก็เคยบอกพี่หม่ำนะว่าหนังเรื่องนี้ยื้อชีวิตหนูจริงๆ แล้วพอหนังฉายก็เป็นช่วงเวลาที่หนูไปหาหมอแล้วพอดี ก็เลยไม่ได้คิดเรื่องการตายแล้ว แต่ ณ จุดนั้นที่เจอปัญหาหนักๆ คนที่เรารักมากที่สุดมาทำร้ายเรา ไม่มีจุดที่คิดว่าจะใช้ชีวิตต่อเพื่อใคร ทำทุกอย่างเพื่อใคร รู้สึกว่าไปต่อไม่ได้ แล้วหนูไม่ได้คุยกับใครเลยนะที่ตัดสินใจไปหาหมอเพราะว่ามีคนบอกเรา ไม่รู้จักคำว่ารักตัวเอง เรารักคนรอบข้าง”

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เบิ้ล AM EP.30