สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวานนี้ (18 เม.ย. 2568) ว่า เมืองเวนิสแห่งอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง กำลังประกาศใช้มาตรการ “ปราบปราม” นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่แสดงพฤติกรรมแย่ๆ ไม่ใช้จ่ายในท้องที่และไม่ให้ความเคารพสถานที่
ตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวประเภทมาเช้าเย็นกลับที่ “เอาเปรียบ” กล่าวคือนักท่องเที่ยวที่เตรียมอาหารกลางวันมาเอง เข้ามาถ่ายภาพเซลฟี่ในเมืองแล้วก็กลับไปโดยไม่ใช้เงินเลยแม้แต่น้อย จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าเมืองเพื่อจะได้มีสิทธิเดินเล่นไปบนถนนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเวนิส
เมื่อปีที่แล้ว ก็เคยมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแบบนี้อยู่ระยะหนึ่ง แล้วทางการเวนิสก็นำระเบียบดังกล่าวกลับมาใช้อีกครั้ง โดยมีการปรับราคาขึ้นอีกด้วย โดยผู้ที่ไม่ได้ “จอง” สิทธิเข้าเมืองและจ่ายค่าธรรมเนียมล่วงหน้า จะต้องจ่ายแพงกว่าอัตราปกติซึ่งอยู่ที่ 5 ยูโร (ราว 190 บาท) เป็น 10 ยูโร (ราว 380 บาท) ต่อคน
เป้าหมายของมาตรการเก็บค่าธรรมเนียมนี้ก็คือ ลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่มีคุณภาพ ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่จริงจังและให้ความเคารพสถานที่ซึ่งกำลังประสบภาวะเสื่อมถอยและมีปัญหามากมายที่มาพร้อมนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
“นี่เป็นเครื่องมือสำคัญที่เมืองอื่นไม่มี” ซิโมน เวนตูรินิ ประธานฝ่ายการท่องเที่ยวของเมืองเวนิส กล่าวในการสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส โดยยกย่องค่าธรรมเนียมดังกล่าว ว่าเป็นทั้งตัวคัดกรองนักท่องเที่ยวและแหล่งรายได้ที่ดี
“เป็นเครื่องมือที่ดีที่ใช้เพื่ออธิบายให้โลกรู้ว่าเวนิสมีเอกลักษณ์และเปราะบาง และการท่องเที่ยวในเวนิสต้องมีความเคารพกันมากกว่านี้” เขากล่าว
มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามที่ครอบคลุมในวงกว้าง เนื่องจากเวนิสกำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อรักษาจิตวิญญาณทางวัฒนธรรมของตน เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาอย่างมหาศาล
นอกเหนือจากการเก็บค่าเข้าเมืองแล้ว ยังมีการห้ามเรือสำราญเข้ามาในเขตน้ำของเมืองแล้ว และยังจำกัดจำนวนการจัดกรุ๊ปทัวร์ไว้ที่ 25 คน ยกเลิกการใช้เครื่องขยายเสียง แล้วยังมีการใช้กล้องวงจรปิดและข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางคนบอกว่าการเก็บค่าธรรมเนียมไม่ได้มีผลอะไรเลยต่อจำนวนนักท่องเที่ยว ผลจากการตรวจสอบภายในพบว่า “ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างวันที่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าเมืองและวันที่ไม่มีการเรียกเก็บ”
ที่จริงแล้ว เจ้าหน้าที่ของเวนิสให้ข้อมูลว่า จำนวนนักท่องเที่ยวกลับเพิ่มขึ้นในวันที่เริ่มทดลองใช้ระบบจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าเมือง ท้ายที่สุดแล้ว นักท่องเที่ยวก็ยอมจ่ายเงิน และยังคงหลั่งไหลเข้ามา
“สิ่งนี้แสดงให้เห็นสิ่งที่ชัดเจนตั้งแต่แรกว่า คุณไม่สามารถบริหารเมืองที่ซับซ้อนอย่างเวนิสได้โดยการเปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นสวนสนุกที่มีค่าธรรมเนียมเข้าชม” โมนิกา แซมโบ สมาชิกฝ่ายค้านในสภาเมือง กล่าวกับสำนักข่าวนิวยอร์กไทม์ส เธอเรียกร้องให้ใช้กลยุทธ์ที่อย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น เช่น การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ และระบบควบคุมการเช่าที่พักระยะสั้นที่ดีกว่าเดิม
แม้จะมีเสียงตำหนิ ทางการเวนิสก็ยังยืนยันว่า ระบบการเก็บค่าธรรมเนียมนี้ได้ผล อย่างน้อยก็ทำให้มีรายได้ที่จำเป็นเข้ามาบ้าง
ปีที่แล้ว โครงการดังกล่าวสามารถดึงเงินเข้ามาเมืองได้ประมาณ 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,067 ล้านบาท) ซึ่งนับว่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
สำหรับปีนี้ มีการเพิ่มจำนวนวันที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมจากเดิม 30 วัน เป็น 54 วัน โดยหวังว่าจะป้องกันไม่ให้มีนักท่องเที่ยวล้นเมืองในฤดูกาลท่องเที่ยวได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องจ่ายค่าเข้าเมือง นักท่องเที่ยวที่จองที่พักค้างคืนในเมืองจะได้รับการยกเว้น เนื่องจากพวกเขาต้องจ่ายภาษีนักท่องเที่ยวรายวันอยู่แล้ว ส่วนคนในท้องถิ่น คนงาน นักศึกษา และผู้ที่มาเยี่ยมครอบครัว ก็จะได้รับบัตรผ่านเข้าเมือง โดยต้องลงทะเบียนเพื่อรับรหัสคิวอาร์ที่ทางการออกให้
ที่มา : nypost.com
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES