ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช” แพทย์เวชปฏิบัติทางประสาทวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและความผิดปกติทางประสาทวิทยา ได้โพสต์ข้อความผ่านเเฟนเพจเฟซบุ๊ก “สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์” ในประเด็นเรื่อง “ร้อนแค่ไหนถึงร่างกายพัง อุณหภูมิภายนอกและอุณหภูมิกาย รวมถึงการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต” โดยมนุษย์และสัตว์ต่างต้องต่อสู้กับสิ่งเดียวกันเสมอมา คือ ปรับตัว และต่อสู้กับสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาชีวิต ดังนั้น อุณหภูมิ คือ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงภายนอก แต่มีผลต่อการทำงานของเซลล์ ร่างกายต้องปรับระบบให้คุมอุณภูมิในร่างกายได้ โดยไม่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ที่ไม่เอื้อต่อการคงอยู่

นอกจากนี้ ทำไม “ความร้อน” ถึงอันตราย เราต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจ 2 สิ่งสำคัญนี้
1. อุณหภูมิภายนอก vs อุณหภูมิร่างกาย
– อุณหภูมิภายนอก (Environmental Temperature) คือ อุณหภูมิของสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น อากาศ, พื้นผิวถนน และห้องที่เราอยู่
– อุณหภูมิร่างกาย (Core Body Temperature) คือ อุณหภูมิภายในร่างกายมนุษย์หรือสัตว์ ซึ่งปกติของมนุษย์จะอยู่ที่ 36.5-37.5°C
ร่างกายเซลล์เราทำงานหนักมากเพื่อ “ตรึง” อุณหภูมิภายในให้นิ่ง ไม่ว่าภายนอกจะร้อนหรือเย็นเพียงใด เพราะแม้เบี่ยงเบนเพียงเล็กน้อย เซลล์อาจจะหยุดทำงาน อวัยวะเจ๊ง เรียกว่า หมายถึงชีวิต

2. ความร้อนอันตราย โดยร่างกายมีศูนย์ปรับความร้อนอุณหภูมิกาย แต่เราต้องรู้ว่า คำว่าตัวร้อน อุณหภูมิกายสูงขึ้นจาก “Heat Stroke” กับ “ไข้ Fever” ไม่เหมือนกัน
– Fever (ไข้) เกิดจาก “ระบบภูมิคุ้มกัน” ของร่างกายตั้งใจยกระดับอุณหภูมิตนเอง เพื่อสู้กับเชื้อโรค เช่น ไวรัส และแบคทีเรีย
– มีการควบคุม เช่น มีไข้ 38-39°C แต่ร่างกายยังสั่งเหงื่อออก หรือหนาวสั่นเพื่อควบคุม
– เกิดจากภายในร่างกายเอง (ระบบ hypothalamus ตั้งค่าใหม่)

อีกทั้ง ส่วน “Heat Stroke” (ลมแดด) เกิดจากสิ่งแวดล้อมร้อนจัด บวกกับร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน
– สูญเสียการควบคุม คือ เหงื่อหยุดไหล, ตัวแดงแห้ง และสมองล้มเหลว
– อุณหภูมิร่างกายทะยานขึ้น เกิน 40°C แบบควบคุมไม่ได้
– เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ต้องรีบลดอุณหภูมิทันที ไม่งั้นตายได้ในเวลาไม่นาน

3. อุณหภูมิภายนอกที่อันตรายต่อมนุษย์ มีดังต่อไปนี้
– 30–35°C คือ เริ่มเหนื่อยง่าย ต้องดื่มน้ำมากขึ้น
– 35–40°C คือ เสี่ยงเป็นลมแดด และตะคริวจากความร้อน
– 40–45°C คือ ถ้าอยู่นานๆ หรือทำงานหนัก จนไปถึงเสี่ยง Heat Stroke
– >45°C คือ อันตรายสูงถึงชีวิตในเวลาเพียงไม่กี่สิบนาที
โดยความชื้นสูง จะทำให้การระบายเหงื่อลดลง จนร้อนยิ่งกว่าที่อุณหภูมิแสดง

อีกทั้ง อุณหภูมิ 30-35°C จะทำให้ร่างกายเริ่มทำงานหนัก จนมีผลดังต่อไปนี้
– อาการ คือ เหงื่อออกง่าย เหนื่อยล้า และหัวใจเต้นเร็ว
– ระบบที่กระทบ คือ ระบบประสาทอัตโนมัติเริ่มทำงานเต็มที่ เพื่อระบายความร้อน เช่น เหงื่อออก และหลอดเลือดขยาย
– ความเสี่ยง คือ ยังไม่อันตรายถ้าไม่เสียเหงื่อมากเกินไปหรือขาดน้ำ

โดยอุณหภูมิ 35-40°C คือ กลไกระบายความร้อนเริ่มล้า จนมีผลดังต่อไปนี้
– อาการ คือ คลื่นไส้ เวียนหัว เป็นตะคริวจากความร้อน (Heat Cramps)
– อวัยวะ คือ กล้ามเนื้อขาดน้ำและแร่ธาตุ
– ระบบที่กระทบ คือ สมองเริ่มตอบสนองช้าลง หัวใจทำงานหนักขึ้น
– ความเสี่ยง คือ เริ่มเสี่ยง Heat Exhaustion ถ้าอยู่กลางแดดหรือทำงานหนัก

นอกจากนี้ อุณหภูมิ 40-45°C คือ เส้นบางๆ ระหว่าง “ล้า” กับ “ล้ม” จนมีผลดังต่อไปนี้
– อาการ คือ ผิวหนังร้อนจัด แดงแต่แห้ง เหงื่อหยุดไหล ตัวสั่น สับสน หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ
– อวัยวะ คือ สมองบวม, หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และไตเริ่มพังจากการขาดน้ำ
– ระบบที่กระทบ คือ ระบบประสาทส่วนกลางล้มเหลว (Heat Stroke)
– ความเสี่ยง คือ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในเวลา ไม่กี่ชั่วโมง ถ้าไม่รีบรักษา
เกณฑ์สำคัญ คือ ถ้าอุณหภูมิร่างกาย (core body temperature) เกิน 40°C ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน (Medical Emergency)

อีกทั้ง อุณหภูมิ 45-50°C คือ เขตแดนแห่งความตาย จนมีผลดังต่อไปนี้
– อาการ คือ หมดสติ, ชัก, หัวใจหยุดเต้น, ตับและไตวาย
– อวัยวะ คือ โปรตีนในเซลล์เริ่มสลายตัว (Denaturation) เหมือนไข่ขาวสุก
– ระบบที่กระทบ คือ ระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
– ความเสี่ยง คือ การอยู่ในอุณหภูมินี้แม้เพียง 10-30 นาที ก็สามารถทำให้เสียชีวิตได้

ถ้าหากมากกว่า 50°C คือ ร่างกายไม่สามารถอยู่รอดได้ จนมีผลดังต่อไปนี้
– อาการ คือ ตายภายในเวลาอันสั้น
– อวัยวะ คือ เซลล์ทั่วร่างกายถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
– ระบบที่กระทบ คือ สูญเสียความสามารถในการรักษาสมดุลทุกระบบ ตัวอย่าง คือ ในห้องซาวน่าร้อนจัด เช่น 80-100°C ผู้คนทนได้เพราะเวลาอยู่สั้นและมีการระบายเหงื่อ แต่ในสภาพกลางแจ้งที่ไม่มีการควบคุมความชื้นและน้ำดื่ม ความตายเกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่า

ทำไมสัตว์บางชนิดทนร้อนได้ดีกว่าเรา เนื่องจากโลกนี้มีสัตว์แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ตามวิธีจัดการอุณหภูมิร่างกาย จะมีดังต่อไปนี้
4.1 สัตว์เลือดอุ่น (Warm-Blooded Animals) ซึ่งจะมี มนุษย์, นก, สุนัข และวาฬ
– รักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่เองได้ ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยน
– ใช้พลังงานมหาศาลในการสร้างความร้อนภายใน (เช่น เหงื่อออก, หอบ, สั่น)
ข้อดี คือ เคลื่อนไหวได้เร็วตลอดเวลา ไม่ต้องพึ่งสภาพแวดล้อม
ข้อเสีย คือ ต้องการอาหารและน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความร้อน

4.2 สัตว์เลือดเย็น (Cold-Blooded Animals) ซึ่งจะมี งู, กิ้งก่า, เต่า และปลา
– อุณหภูมิร่างกายขึ้น-ลงตามสิ่งแวดล้อม
– แทบไม่ต้องใช้พลังงานสร้างความร้อนเอง
ข้อดี คือ ประหยัดพลังงาน กินอาหารน้อย อยู่ได้ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว
ข้อเสีย คือ เคลื่อนไหวช้าเมื่ออากาศเย็น และอาจตายได้เมื่อร้อนหรือเย็นเกินไป

ขอบคุณข้อมูล : สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์