เมื่อวันที่ 10 พ.ค. คุณเคยอวดความสามารถในการบิดงอนิ้วมือหรือแขนขาได้มากกว่าคนอื่นไหม? อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเรื่องสนุก! เพราะผู้เชี่ยวชาญกำลังออกมาเตือนว่า ภาวะข้อต่อยืดหยุ่นเกินปกติ (Hypermobility) ที่ดูเหมือนเป็นความสามารถพิเศษนั้น อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ของภาวะสุขภาพที่ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะ กลุ่มอาการเอห์เลอร์ส-แดนลอส (Ehlers-Danlos Syndrome หรือ EDS) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมหายากที่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั่วร่างกาย
โรค EDS ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด เพราะคนดังอย่างนักแสดงสาว จามีลา จามิล และนักร้องนักแต่งเพลงชื่อดัง เซีย ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับภาวะนี้ โดยโรคดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลกราว 1 ใน 5,000 คน ตามข้อมูลจากหอสมุดแพทยศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ
ทำไมข้อต่อหลวมถึงน่ากังวล?
สาเหตุหลักของ EDS มาจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการพยุงอวัยวะต่างๆ รวมถึงปอดและทางเดินหายใจ อ่อนแอลง เมื่อเนื้อเยื่อเหล่านี้ไม่แข็งแรง ก็จะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ฉีกขาด หรือแม้กระทั่งยุบตัวเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ ภาวะนี้ยังอาจส่งผลให้โครงสร้างของผนังทรวงอกเปลี่ยนแปลง ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ และประสิทธิภาพในการหายใจลดลงอย่างน่าตกใจ ที่สำคัญ ผู้ป่วย EDS มักมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจเข้าและออก
ผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ที่เป็น EDS มักประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาการหายใจถี่ รู้สึกหายใจลึกๆ ไม่สะดวก นอนกรนเสียงดังหรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ไอเรื้อรัง หายใจมีเสียงหวีดคล้ายคนเป็นหอบหืด ไปจนถึงอาการเจ็บหน้าอกที่รุนแรงขึ้นทุกครั้งที่หายใจเข้า
นอกจากนี้ รูปแบบการหายใจของผู้ป่วย EDS ก็มักจะผิดปกติ หลายคนอาจมีพฤติกรรมการหายใจแบบ “กลั้นลมหายใจ” โดยไม่รู้ตัว คือสูดลมหายใจเข้าไปแล้วค้างไว้นานเกินไป เจนนี ดิ บอน ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะข้อต่อยืดหยุ่นเกินและโรค EDS จากสหราชอาณาจักร ได้ให้ข้อมูลที่น่าตกใจกับ Newsweek ว่า “การกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัวนี้ เป็นเหมือนกลไกป้องกันตัวเองของร่างกาย เพราะร่างกายของเรานั้นขาดความมั่นคง” ซึ่งเธอเองก็เป็นผู้ป่วย EDS ด้วย

และสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ รูปแบบการหายใจที่ผิดปกตินี้อาจกลายเป็น “แหล่งสะสมเชื้อโรค” ชั้นดี เพราะมันทำให้ส่วนล่างของปอดไม่ได้รับการใช้งานอย่างเต็มที่ ดิ บอน อธิบายว่า การที่ปอดไม่ขยับขยายอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้ป่วย EDS มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคทางเดินหายใจต่างๆ เช่น โควิด-19 และปอดบวม มากกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
เทย์เลอร์ โกลด์เบิร์ก โค้ชด้านภาวะข้อต่อยืดหยุ่นเกิน ยังเสริมอีกว่า ผู้ป่วย EDS จำนวนมากมักจะฟื้นตัวจากอาการป่วยได้ยากกว่าคนทั่วไป “แม้ว่าเราจะยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมในเรื่องนี้ แต่จากประสบการณ์ทางคลินิกพบว่า ผู้ที่มี EDS มักจะรับมือกับโรคทางเดินหายใจได้ยากลำบากกว่าคนทั่วไปจริงๆ” เธอกล่าว
เช็กเลย! ข้อต่อของคุณ “ยืดหยุ่นเกินไป” หรือไม่?
กลุ่มอาการ EDS นั้น ครอบคลุมถึงโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทางพันธุกรรมมากถึง 13 ประเภท แม้ว่าแต่ละประเภทจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พบได้ร่วมกันในผู้ป่วย EDS ส่วนใหญ่ก็คือ ภาวะข้อต่อยืดหยุ่นเกินปกติ นั่นเอง ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากมูลนิธิ Ehlers-Danlos Society ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นด้านการวิจัยและส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้
แพทย์มักจะใช้ คะแนน Beighton (Beighton Score) เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการประเมินความยืดหยุ่นของข้อต่อ ซึ่งเมื่อนำไปพิจารณาร่วมกับอาการอื่นๆ และประวัติครอบครัว ก็จะช่วยในการวินิจฉัยโรค EDS ได้ โดยการทดสอบนี้จะให้คะแนน 1 คะแนนสำหรับการทำท่าทาง 5 อย่าง ได้แก่:
- งอนิ้วก้อยไปด้านหลังให้ได้ 90 องศา
- ดึงนิ้วโป้งไปด้านหลังจนแตะแขนท่อนล่าง
- เหยียดข้อศอกให้เกิน 10 องศา
- เหยียดเข่าให้เกิน 10 องศา
- ยืนตรงและก้มตัวลง โดยให้ฝ่ามือราบกับพื้นได้โดยไม่ต้องงอเข่า
ผลการทดสอบเบื้องต้น:
หากคุณทำได้ มากกว่า 5 คะแนน จาก 9 คะแนน สำหรับผู้ใหญ่
หรือ มากกว่า 6 คะแนน จาก 9 คะแนน สำหรับเด็ก
ผลลัพธ์นี้อาจบ่งชี้ว่าคุณมีภาวะข้อต่อยืดหยุ่นเกินปกติ แม้ว่าคะแนนนี้จะไม่สามารถยืนยันการวินิจฉัยโรค EDS ได้อย่างชัดเจน แต่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่คุณควรนำไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินอย่างละเอียดต่อไป
อ้างอิง New York Post